วันเสาร์ที่ 15 มีนาคม พ.ศ. 2551

ป่าป๊า-บุคคลธรรมดาๆคนแรกของฉัน

ป่าป๊าเป็นคนจีนนั่งเรือสำเภามาจากแผ่นดินใหญ่มาลงที่คลองเตยตั้งแต่อายุ 17 มาพร้อมกับอากง อาม่าและน้องชาย 1 คน แล้วก็ปักหลักแถวคลองเตยมาจนมีหม่าม้า มีแม่ มีพวกฉันตามมาอีก 5 คน ปัจจุบันบ้านแม่ก็ยังอยู่คลองเตยไม่คิดจะย้ายไปไหน เคยย้ายอยู่ครั้งตอนฉัน 7 ขวบ ก็ย้ายจากแถวตลาดคลองเตยมาอยู่อีกฝั่งตรงตึกไทยคลองเตยเพราะบ้านที่เช่าเขาไม่ให้เซ้งต่อ ป่าป๊าจึงมาซื้อตึกแถวใกล้ๆ แค่ข้ามถนนมาแค่นั้น ไม่ได้ไปไหนไกลเล้ย มีก็แต่ลูกๆ ที่แยกย้ายกันไปสร้างครอบครัวตัวเอง ปัจจุบันนี้ตัวป่าป๊าเองยังไป-กลับเมืองจีนเป็นว่าเล่นทุก 3-4 เดือน ที่บ้านจึงเหลือผู้หญิงมีอายุอยู่แค่ 3 คน พวกพี่ชาย น้องชายฉันก็ไป-กลับทุกวัน เพราะทำงานที่กงสีของป่าป๊า รับเงินเดือนจากป่าป๊าอยู่ น้องสาวก็ปลีกตัวไปสร้างชีวิตไกลที่ต่างแดน ส่วนฉันก็แต่งออกมามีไปแวะไปเยี่ยมบ้างอาทิตย์ละครั้งสองครั้งเพราะคิดถึงแม่กะหม่าม้า

 

อาม่ากะอากงเสียไปตั้งนานแล้ว ฉันเคยเห็นแต่อากง แต่ไม่เคยเห็นอาม่า แม่เล่าว่าอาม่าเสียตั้งแต่อายุน้อยแค่ 37 เพราะทำงานหนักและช้ำใจที่อากงเจ้าชู้มี่เมียหลายคน ป่าป๊ามีพี่น้องที่ไม่ได้เกิดกับอาม่าคนเดียวกันอีกหลายคน ฉันเคยเห็นบ้างก็ตอนรวมญาตเทศกาลเชงเม้ง ไม่ค่อยสนิทสนมมากนัก และป่าป๊ายังมีน้องชายอีกคนที่อากงไม่ได้อุ้มมาด้วยตอนขึ้นเรือมา ปัจจุบันอาเจ็กคนนี้ (น้องชายป่าป๊า) ลงหลักปักฐานอยู่ที่ฮ่องกง นอกจากนั้น ป่าป๊าก็ยังมีน้องสาวอีกคนที่อาม่ามาท้องตอนอยู่เมืองไทยและป่าป๊าก็ช่วยกันเลี้ยงจนโตหลังจากอาม่าเสียไปแล้ว

 

ตอนที่มาที่เมืองไทยตอนแรกๆ ทุกคน (ป่าป๊า อาม่า อากง) ต้องไปเป็นจับกังรับจ้างแบกน้ำที่ท่าเรือ ลำบากมาก เพื่อให้ได้ข้าวกินไปวันๆ อาหารแต่ละมื้อก็หาเนื้อกินยากมาก ประเภทหมูเห็ดเป็ดไก่อย่าไปหวัง ปลาหนึ่งตัวต้องใช้มองห้ามตักเข้าปาก นี่เป็นเรื่องจริง ป่าป๊าลำบากแต่ก็ขยันจนสามารถตั้งตัวได้ มีบ้านมีรถ ฉันเห็นป่าป๊าทำมาค้าขายหลายอย่าง ตั้งแต่ชีวิตขึ้นขีดสูงสุด จนกลับมาตกต่ำไม่มีเงินติดหนี้สินก็มี

 

แต่ลำบากยังไง ป่าป๊าเลี้ยงพวกเราสบายทุกคนมีกินมีใช้แบบไม่เคยขาดมือ ป่าป๊าส่งลูกทุกคนเรียนเท่าที่ปัญญาใครจะเรียนได้ มีแค่น้องสาวฉันเพียงคนเดียวที่เรียนสูงที่สุด ได้ปริญญาโทไม่รู้กี่ใบเอาไปแปะอะไรก็ไม่ได้ อิอิ

 

ป่าป๊ารักลูกชายมากตามประสาคนจีนทั่วไป ส่วนลูกสาวก็หวงเพราะความที่ป่าป๊าเจ้าชู้ เลยกลัวลูกสาวจะเสียทีคนเจ้าชู้ เมื่อเด็กๆ อย่าหวังเลยว่าฉันจะได้ไปเที่ยวค้างคืนที่ไหน ไปทัศนศึกษากับโรงเรียนยังไม่กล้าแม้แต่จะเอ่ยปากขอ ฉันเคยทะเลาะอย่างรุนแรงกับป่าป๊าอยู่หนหนึ่งเมื่ออายุ 18 แรงมากเพราะฉันไม่คุยกับป่าป๊าเลยถึงสองปี ช่วงสองปีที่ไม่คุยกับป่าป๊า ฉันประชดด้วยการตามเพื่อนไปเที่ยวๆๆๆๆ ต่างจังหวัดที่เคยอยากไปแต่ไม่กล้าขอ เกาะเสม็ด พัทยา ระยอง หัวหิน ประจวบฯ กับกลุ่มเพื่อนที่โรงเรียน ซึ่งโชคดีมากเพื่อนฝูงที่ฉันคบไม่ได้นำพาไปในทางเสียคนแต่อย่างใด เพราะหากเป็นอย่างนั้น ฉันก็พร้อมจะเสียคนได้อย่างง่ายดายเหลือเกิน

 

ฉันนึกน้อยใจที่เป็นลูกผู้หญิงป่าป๊าไม่ปลื้ม ความที่ขี้แยทำให้ป่าป๊าต่อว่าว่าฉันเป็นคนอ่อนแอ ออเซาะ และไม่ฉลาด หนที่ทะเลาะรุนแรงจำไม่ได้ว่าเรื่องอะไร รู้แต่ว่าป่าป๊าลงไม้ลงมือ ทุกครั้งที่ดื้อป่าป๊าตีไม่เลี้ยง แต่ครั้งนี้ฉันเถียงอะไรไม่รู้ ป่าป๊าตบปากหนึ่งครั้งและบอกว่า มึงไม่ต้องมาเป็นลูกกู แค่เนี๊ยะ ฉันร้องไห้ร้องๆๆๆๆๆๆๆๆๆ และไม่พูดกะป่าป๊าอีกต่อไป

 

แล้วจู่ๆ วันหนึ่ง ฉันก็เข้าไปพูดกับป่าป๊า เข้าไปกอดและเรียก ทำแค่นั้น น้ำตาก็ไหลๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆ  ป่าป๊าทำไม่สนใจ แต่ฉันก็ทำซ้ำๆ ทุกวันจนเราสองคนกลับมาเป็นป่าป๊ากับหมวยใหญ่คนเดิม (ป่าป๊าตั้งชื่อฉันว่าหมวยใหญ่)

 

ปัจจุบัน ป่าป๊าอายุประมาณ 72 ป่าป๊าดูแก่ตัวลงไปมาก ป่าป๊ายังทำงานอยู่ ตั้งแต่ฉันคุยกะป่าป๊าครั้งนั้นหลังจากฉันจบออกมาและไม่ได้เรียนต่อ ฉันหางานทำในบริษัทเอกชน ไม่เคยขอตังค์ป่าป๊าใช้อีกเลยตั้งแต่ฉันอายุยังไม่เต็มยี่สิบดี ชีวิตการทำงานฉันผ่านเรื่องราวอะไรมากมาย ทำให้ฉันรักป่าป๊ามาก ป่าป๊าไม่ใช่คนดีเลิศประเสริฐศรีอะไร เจ้าชู้ มีเมียหลายคนเหมือนอากง นั่นทำให้ฉันต้องมีแม่สองคนคือหม่าม้ากะแม่ และจะยังอีกไม่รู้กี่เมียนับไม่ถ้วน ไม่ว่าสิ่งที่ป่าป๊าทำจะผิดหรือถูก หรือใครจะเรียกว่างี่เง่า แต่ฉันก็จะรักป่าป๊าของฉัน รักแบบไม่มีเงื่อนไข ฉันอยากให้ป่าป๊าได้พักผ่อนหัวสมองเสียที ตั้งแต่ 17 จน 70 กว่าแล้ว นอกจากปากที่ว่ารักฉันอยากมีเงินมากพอให้ป่าป๊านั่งชิวๆ อยู่บ้าน ปลูกต้นไม้ เลี้ยงไก่ แบบที่ป่าป๊าชอบ ถ้าอยากทำอะไรก็ทำเพราะชอบทำ ไม่ใช้ทำเพราะต้องทำเพราะเป็นห่วงลูกและเมีย

 

อยากบอกว่าฉันรักป่าป๊ามาก ป่าป๊าเป็นบุคคลธรรมดาที่สำคัญอันดับหนึ่งในชีวิตฉัน

บุคคลธรรมดาๆ ของโลก

จั่วหัวไว้ ตั้งใจเขียนบันทึกเรื่องราวของบุคคลธรรมดาๆ จำนวนหนึ่ง 

 

บุคคลเหล่านี้ ไม่ได้เป็นบุคคลสำคัญของโลกแต่อย่างใด

 

เป็นเพียงแค่ใครหลายคน แต่มีอิทธิพลหล่อหลอมอันสำคัญสำหรับคนธรรมดาอย่างฉัน ที่ทำให้เรา(พวกคุณและตัวฉันเอง)รู้ว่า...ชีวิตเล็กๆ ของเรามีคุณค่าต่อกันและกัน

 

ป่าป๊า-  นักสู้ผู้ยิ่งยง

แม่- ความรักที่ไม่มีเงื่อนไข

หม่าม้า- ตัวอย่างของความอดทน

พี่โจ- กำลังใจที่ยิ่งใหญ่

พี่ชาย-น้องชาย-น้องสาว รวมถึงหลานๆ ทั้งเจ็ด (ไม่ใช่คนแคระกับสโนว์ไวท์เนอะ) และที่อาจจะมีตามมาเพิ่มขึ้นอีก

พี่มด/พี่หมอ ตัวอย่างที่ดี(มีค่ามากกว่าคำสอน) ผู้ให้โอกาสและแรงบันดาลใจที่มีคุณค่า

 

และยังจะเพื่อนร่วมโลกอีกหลายคน อันจะกล่าวถึงเป็นรายบุคคลต่อๆ ไป

 

.....สุดท้ายอยากบอกว่า รักทุกคนมากๆ

วันอังคารที่ 4 มีนาคม พ.ศ. 2551

ร่ำลาเมืองตรัง...พักครึ่งทางที่ประจวบ


กลับแระ
ลาแระนะ ตรัง
ก็เริ่มจากตรังก็ต้องเป็นว่าขึ้นเหนือสิ เนอะ

แยกจากเพื่อนที่ตรัง...
..ตั้งใจชิวๆ ไปเรื่อย ให้สบายใจคนขับ
ไม่ต้องเร่งไม่ต้องรีบ ค้างประจวบอีกสักคืน เก็บประจวบอีกสักวัน
ก่อนกลับ ไปทำงานที่ กทม.

วันจันทร์ที่ 3 มีนาคม พ.ศ. 2551

ตรัง..ไม่ตั้งใจ แต่ประทับใจ


ยางแตก
จึงทำพิธีเปลี่ยนล้อ
เหมือนเป็นหนึ่งในโปรแกรมท่องเที่ยวครั้งนี้

เป็นทริปธรรมดา ๆ ธรรมดา ที่ประทับใจมากมาย
...ขอบคุณเพื่อนจากโลกเสมือนที่รู้จักกันจาก PostcardLovers Club - pantip...
เบญ - นู๋หิ่นอินตรัง (ขออนุญาตเอ่ยนาม) ต้อนรับขับสู้ ทั้งๆ ที่เพิ่งจะรู้จักกัน
.... ประทับใจก็ตรงนี้นี่เอง ....
ขอบคูณเพื่อนร่วมทริป เอ้ Snoopy in BKK และที่ไม่ได้เอ่ยนาม
ที่ทำให้ทริปธรรมดานี้ ไม่ธรรมดาเลยจริงๆ ..