วันเสาร์ที่ 13 ธันวาคม พ.ศ. 2551

พาแม่นอนเต๊นท์ ปากช่อง-เขาใหญ่


กลับรถแค่ 1 กม.
ใช้เวลา 1 ชั๋วโมง
ระยะทางไปปากช่อง 200 กว่า ก.ม.
ใช้เวลาทั้งวัน เฮ่อ เหนื่อยแต่ไม่ยั่น

ไปดูบอลลูนที่ปากช่อง
ต่อด้วยเดินป่า(เล็กๆๆๆ)ที่เขาใหญ่

กะพาแม่ไปลำบาก
แม่บอกว่า "สนุกมาก"........

วันอาทิตย์ที่ 2 พฤศจิกายน พ.ศ. 2551

เยือนเหนือฯ : ช่องเย็นแล้ว...กลับบ้านเสียที




หลังอาหารเช้าง่ายๆ ก็ออกจากโรงแรมไปตามหาน้ำตกกันทันที
"น้ำตกคลองลาน" เป็นน้ำตกที่แสนจะเข้าถึงได้สะดวก ที่จอดรถสามารถเห็นน้ำตกได้ทันที ทางอุทยานทำทางเดินให้เข้าถึงได้ไว้เป็นอย่างดี น้ำก็เยอะสมใจ เพลิดเพลินกันเป็นนานสองนาน กว่าจะหลุดออกมาได้ เกือบลืมไป ว่าวันนี้ต้องกลับไปนอนที่บ้านแล้ว แล้วยังต้องเอารถไปขึ้นเขาลงห้วยที่ช่องเย็นอีก

หาอะไรใส่ท้องแล้วมุ่งรถไปปีนภูเขาต่อกันทัน ถนนหนทางสวยไม่แพ้ที่ผ่านเลยทีเดียว
แถมเงียบเชียบ ได้สัมผัสธรรมชาติอย่างแท้จริงแบบไม่ต้องขับรถไปไกลมาก (ก็กำแพงเพชรเนี่ย ใกล้กรุงเทพฯ กว่าเชียงใหม่เป็นไหนๆ)

วันที่ไปมีแค่รถเราคันเดียว กับรถตู้อีกคันที่ตามมาห่างๆ คันนั้นเค้ามากางเต๊นท์ค้างกันหนึ่งคืน เราเจอที่หน้าอุทยานแล้วก็ไปเจออีกทีข้างบนโน่นเลย .... แอบอิจฉาเล็กน้อยที่เค้ามีเวลาค้างต่อ แต่ที่ผ่านมา 8-9 วันก็อิ่มพอสมควรจะกลับไปทำมาหาเที่ยวต่อได้แล้วเสียที่
.....

วันอาทิตย์ที่ 28 กันยายน พ.ศ. 2551

เยือนเหนือฯ (8) - จากลำปางถึงกำแพงเพชร




ออกจากแจ้ซ้อนก็เลาะมาที่ตัวเมืองลำปางกันก่อน แวะชมสถานที่ระหว่างทางบ้างเพราะเวลายังเหลือเฟือ ยังไม่มั่นใจว่าคืนนี้จะไปค่ำที่ไหนดี ไปแวะกินข้าวร้านที่ผ่านไปเจอ ก็ให้นึกคุ้นๆ ว่าเคยเข้ามาเมื่อคราวก่อน ดูดูไปลำปางไม่มีอะไรเปลี่ยนแปลงจากปีก่อน แต่กลับไปสะดุดเจ้าป้ายหลักกิโลยักษ์ตอนที่ติดไฟแดงอยู่เลยมิวายต้องกลับรถเข้าไปยลใกล้ๆ

ร้านกาแฟในปั๊มมีเนทให้เล่นฟรีด้วย ไม่ธรรมดาเลย เราเข้าเนทเช็คข้อมูลที่เที่ยวต่อหลังจากที่กางแผนที่แล้วคิดกันว่าเราควรจะไปมืดที่กำแพงเพชร

ได้ข้อมูลที่ท่องเที่ยวมาสมใจ นี่ไง จุดหมายเราคือช่องเย็น แล้วระหว่างทางมีเวลาแวะที่อื่นบ้างอะไรบ้างอย่างอุทยานประวัติศาสตร์กำแพงเพชรกับน้ำตกคลองลานก็น่าสนใจไม่น้อย ได้แผนการคร่าวๆ แล้วก็จัดการตามแผนทันที ค่ำนี้นอนกำแพงเพชร นะเจ้าขมิ้นเหลืองเขียว

(แปลกใจตัวเองมากที่ไม่เคยจัดอันดับจังหวัดกำแพงเพชรให้เป็นสถานที่ที่จะมาท่องเที่ยวในใจไว้เลย ทั้งที่มีอะไรตั้งเยอะแยะ เวลาแค่สองวันคงแค่ได้สำรวจไม่ได้ลงลึกอะไร)

วันเสาร์ที่ 27 กันยายน พ.ศ. 2551

เยือนเหนือฯ (7) - ถึงแล้ว..แจ้ซ้อน


ต้นไม้ที่ได้รับน้ำฝนอย่างชุ่มฉ่ำ
มันสวยเยี่ยงนี้

นั่งๆ กินๆ นอนๆ คุยกับตา-ยายอยู่ครึ่งวันก็คิดกันต่อว่าจะไปไหนดี

คราวนี้คงต้องล่องลงเที่ยวไล่ไปตามทางที่จะกลับบ้านหยิบแผนที่มาดูก็ตัดสินใจไปที่แจ้ซ้อนกันเลย ... ดูทางจากแผนที่แล้วตัดสินใจเลือกจะไปทางดอยสะเก็ดแล้วรถก็มุ่งหน้าไปตามนั้นทันที

ทางนี้วิวสวยมาก ขับผ่านโค้งไปมาไม่ชันเหมือนที่ปาย แต่ทางดูรกกว่าคล้ายจะไม่ได้รับการเอาใจใส่ดูแลรักษาเหมือนกับเส้นทางท่องเที่ยวอื่น
รถที่ผ่านก็น้อย วิวได้ใจมากๆ

เราไปถึงแจ้ซ้อนเย็นๆ ที่โน่นวันนี้คึกคักด้วยเด็กนักเรียน ที่มาตั้งแค้มป์กัน (ดีจังเนาะเด็กแถวนี้ ออกแค้มป์ได้เท่ห์สุดๆ) ติดต่อเจ้าหน้าที่อุทยานได้บ้านพักมาหนึ่งหลัง เจ้าหน้าที่อุทยานใจดีมากๆ รับกุญแจให้เรียบร้อยก่อนค่อยออกสำรวจ

หลังจากอิ่มหมีพีมัน เราก็เริ่มกันที่บ่อน้ำร้อนกันก่อน ที่นี่กว้างขวางดีแท้ มีบ่อน้ำร้อน มีน้ำตก มีอะไรให้ดูเยอะแยะ
เหมาะแก่การเยื่ยมเยือนจริงๆ ดูไปรอบๆ แล้วยังไม่มืดดี พลขับจึงขับรถออกจากอุทยานไปดูเส้นทางรอบนอกบ้าง
ไปเสียไกลหลายกิโลจนถึงหมู่บ้านเงียบๆ แห่งหนึ่ง เห็นว่าโด่งดังเรื่องหมอนใบชาระดับ OTOP ทีเดียว เสียดายไปถึงก็มืดค่ำชาวบ้านเข้าบ้านนอนกันหมดแล้วจึงกลับ

คืนนี้ฉันนอนหลับสบายอีกตามเคยพร้อมกับซีรี่ส์เกาหลีที่เหลือ
เพื่อที่เช้าพรุ่งนี้ ฉันจะได้ไปลุยน้ำตกอย่างสดชื่น

เสียดายเขียนโปสการ์ดไว้เป็นปึก แต่หายไปเพราะอุบัติเหตุ
กับตู้แดงตู้นั้น (ตู้แดงแสลงใจ ฮือ).... ไม่มีใครได้รับรวมถึงตัวฉันเองด้วย

วันอังคารที่ 23 กันยายน พ.ศ. 2551

มุมมองความรัก ~ MySuper Hero


คัดมาจาก http://www.chaliang.com/Board-Detail.asp?ID=10306
คุยกับลุงชาลี (ประภาส ชลศรานนท์)

-------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------
ความรักเป็นเรื่องของคนสองคน
แต่งานแต่งงานเป็นเรื่องของคนหลายคน

ความรักเป็นเรื่องของคนสองคน ประโยคนี้ฟังดูง่าย
แต่ทำเป็นเล่นไป อาจมีคนเป็นหมื่นเป็นแสนไม่เข้าใจประโยคง่ายๆนี้

หลายคนเจ็บปวดกับความรัก เพราะดันให้ความรักเป็นของคนแค่คนเดียว

บางคนก็ให้เป็นเรื่องของตัวเอง นั่นคือตามใจแต่ตัวเอง เอาตัวเองเป็นใหญ่ ไม่สนใจอีกคนหนึ่ง

บางคนก็ให้เป็นเรื่องของอีกคน นั่นคือตามใจแต่คนรัก เอาตัวคนรักเป็นใหญ่ ไม่สนใจตัวเอง

สิ่งมีชีวิตในโลกนี้จะดำรงเผ่าพันธุ์ต่อไปได้จำต้องมี การปรับตัว (จากทฤษฎีของดาร์วิน)

นอกจากการปรับตัวแล้ว สิ่งมีชีวิตที่มีชื่อว่ามนุษย์ทำมากกว่าสิ่งมีชีวิตอื่นก็คือ การเอาชนะ ปรัชญาข้อนี้ (จากวิถีของ เอดิสัน กาลิเลโอ)

เอะอะอะไร ก็ทูนแต่พวกนักวิทยาศาสตร์ยันเต อย่าไปว่าเลย

กาลิเลโอนั้นน่าสนใจที่สุด เพราะพี่ท่านใช้ทั้งการปรับตัวและเอาชนะ
ยอมติดคุกหัวโตเพื่อเขียนตำราวิทยาศาสตร์เล่มยิ่งใหญ่ของโลก

ความรักก็เป็นอย่างนั้น

ความรักเป็นเรื่องของคนสองคน
ความรักจำเป็นต้องอยู่รอด
ความรักจึงจำต้องปรับตัวและต้องเอาชนะ

ฟังดูโหดจัง ต้องเอาชนะด้วยหรือ

พุทโธ่... คนรักกันทำไม่ถูกไม่ควร จะไปยอมได้อย่างไร
ถ้าฝ่ายหนึ่งยอมตลอดเวลา ความรักจะกลายเป็นเรื่องของคนๆเดียวทันที

ใครที่คิดว่าเรื่องเอาชนะเป็นเรื่องโหดร้าย ให้ฟังเรื่องเล่าของซุนวู 
รบร้อยชนะร้อย ยังหาใช่ความยอดเยี่ยมไม่
มิต้องรบแต่ชนะได้ จึงเป็นความยอดเยี่ยม
ปรัชญาสูงสุดของซุนวูว่าไว้

นอกจากการปรับตัวและการเอาชนะ ซึ่งเป็นคุณสมบัติสำคัญของมหาบุรุษแล้ว
อีกข้อหนึ่งซึ่งจะทำให้มนุษย์ผู้ยิ่งใหญ่เป็นมนุษย์ผู้ยิ่งใหญ่อันประเสริฐ
นั่นก็คือ การเปิดใจ

รับฟังทุกคำเห็น มองทุกอย่างเป็นไปได้ มองความผิดพลาดของตัวเองได้
ยอมรับความผิดหวังได้ ยอมรับความสมหวังได้


เอดิสันเปิดใจกว่าสองพันครั้ง เพื่อรับวัสดุใหม่ๆในการสร้างหลอดไฟให้ชาวโลก

ไอน์สไตน์เปิดใจรับจินตนาการของตัวเองบนเนินเขาว่ามันอาจเป็นจริงได้ในทางคณิตศาสตร์
จนเกิดฟิสิกส์ยุคใหม่


เจ้าชายสิทธัตถะเปิดใจรับคำสอนจากอาจารย์หลายต่อหลายคน เพื่อคนหาคำตอบของชีวิตและสุดท้ายพระองค์ยังเปิดใจอันใสที่สุดในจักรวาลเพื่อฟังเสียงจากสมาธิของตัวเอง

ในความรัก คนสองคนต้องการ การเปิดใจ อย่างที่สุด
ไม่เปิดใจ แล้วจะเชื่อใจ กันได้อย่างไร

ความเชื่อใจนี่แหละคือเสาเข็ม อันปักลึกมั่นคงของตึกที่ชื่อว่า ความรัก

เมื่อเราเจอใครสักคนที่เราเราคิดว่าใช่ วินาทีนั้นน่าจะเป็นครั้งแรกที่ต้องเปิดใจ
ตัวเองก่อน ใช่ จริงไหม หรือแค่พึงใจในหน้าตาและบุคลิก หรือแค่เหมือนใครสักคนที่เราขาดหายไป ?
หรือใช่เพราะเขาสาละวนเอาใจแต่เราคนเดียว


เปิดใจตัวเองจริงๆว่า เขาใช่สำหรับเราไหมและเราใช่สำหรับเขาไหม
อันนี้ต้องดูดีๆ ต้องเปิดใจจริงๆ ไม่ใช่เอาแต่ใจ แล้วหลอกตัวเองว่าใช่

บางทีเราก็เรียกการรู้ว่า ใช่หรือไม่ใช่จากการเปิดใจอันนี้ว่า สัมผัสที่หก
ไม่เพียงแต่เรื่องความรักดอก มันจะมีกับทุกเรื่องจริงๆ ถ้าเรา เปิดใจ

โดยคุณ : ชาลี - [ 25 ก.ย. 2549 , 10:09:35 น.]

วันพฤหัสบดีที่ 18 กันยายน พ.ศ. 2551

เยือนเหนือฯ (6) - เวียงกุมกาม




กลับมาที่จุดเริ่มต้นที่เชียงใหม่ เช้านี้ฟ้าแจ่มใสมาก เราจะไปแวะชมเมืองเก่าที่เพิ่งขุดค้นพบเมื่อไม่กี่ปีมานี้ "เวียงกุมกาม"

วันพุธที่ 17 กันยายน พ.ศ. 2551

..กระดาษเล่าเรื่อง...โปสการ์ดของฉัน


ที่เมืองโบราณอีกใบ
ฟ้าแจ่มโคตร แต่ก็ถ่ายได้แค่นี้

กิจกรรมที่เป็นส่วนหนึ่งในการท่องเที่ยวของฉันคือการได้ส่งกระดาษใบเล็กๆ ที่เรียกว่า "โปสการ์ด" กลับบ้าน จ่าหน้าให้ตัวเองแล้วกลับมารอรับเพื่อเก็บความประทับใจเล็กๆ เอาไว้อ่านเรียกความจำและก็เป็นของที่ระลึกไปในตัว ที่ระลึกที่มีตราประทับจากไปรษณีย์บอกสถานที่ที่ฉันหย่อนตู้และรวมถึงแสตมป์ที่ระลึกอีกต่างหาก

ระยะหลังๆ นี้ ฉันจะแก้เก้อด้วยการจ่าหน้าเป็นชื่อคนข้างๆ แทนชื่อตัวเอง แต่ก็ยังใช้ที่อยุ่เดียวกันอยู่ดี

กับเพื่อนสนิทไม่กี่คน..ฉันถือโอกาสเล่าเรื่องผ่านกระดาษใบน้อย บอกสารทุกข์สุกดิบ ณ ตอนนั้นส่งผ่านตู้แดงทุกครั้งอย่างไม่เคอะเขิน ภาพที่ส่งและแสตมป์ในแต่ละครั้งก็สวยงามแตกต่างกันไป

การวิ่งไล่หาโปสการ์ดเป็นเรื่องสนุกในแต่ละทริป จนเมื่อปีที่แล้วที่ผ่านมา ฉันไปค้นพบคลับแห่งหนึ่งที่รวมคนที่ชอบสะสมโปสการ์ดไว้ด้วยกัน และฉันจึงได้เรียนรู้การทำโปสการ์ดด้วยตนเองจากคลับแห่งนี้

ฝีมือไม่ได้ถึงขั้นอะไรหร่อก แต่ฉันก็ถ่ายรูปเอง แต่งรูปเอง เอาไป print แล้วก็กลับมาตัดกระดาษทากาว ติดด้วยมือ กว่าจะได้มาหนึ่งใบ ช่างภูมิใจนักหนา

และเหล่านี้เป็นส่วนหนึ่งที่ฉันนั่งหลังขดหลังแข็งทำเมื่อได้โอกาส มีความสุขเล็กๆ กับกิจกรรมธรรมดาแบบนี้...

วันอังคารที่ 16 กันยายน พ.ศ. 2551

จงตามความฝันไป

เป็นบทความที่อ่านแล้วชอบมาก




------------------------------------------------------------------
ผมมีเพื่อนชื่อว่ามอนตี้ โรเบิร์ตส์ เขาเป็นเจ้าของคอกม้าอยู่ในซานอิชิโดร เขาให้ผมยืมบ้านเป็นที่จัดงานระดมทุนเพื่อใช้ในโครงการดูแลเด็กที่มีความเสี่ยง

ผมอยากจะบอกให้พวกคุณรู้ว่า ทำไมผมถึงยอมให้แจ๊กใช้บ้านของผม ผมขอย้อนไปที่เรื่องของชายหนุ่มคนหนึ่งซึ่งเป็นลูกชายของครูฝึกม้ารับจ้างที่ตระเวนฝึกม้าตามคอกต่าง ๆ รวมทั้งตามสนามแข่ง โรงเพาะม้าและไร่ปศุสัตว์ ด้วยเหตุนี้เอง จึงทำให้การศึกษาชั้นมัธยมของลูกชายของเขามีอันต้องสะดุดอยู่เป็นระยะ

ในตอนที่เขาเรียนชั้นมัธยม ครูขอให้เขาเขียนเรียงความเรื่องเขาจะทำอะไรเมื่อเขาโตขึ้นคืนนั้นเขาเขียนเรียงความยาวเจ็ดหน้า เล่าว่าสักวันเขาจะต้องเป็นเจ้าของคอกม้าให้ได้ เขาเขียนเล่าแผนการความฝันของเขาอย่างละเอียด พร้อมกับวาดภาพทุ่งเลี้ยงม้าจำลองขนาด 200 เอเคอร์ลงไปด้วย ในนั้นมีทั้งที่ตั้งของตึก คอกม้า และลู่วิ่ง แล้วเขาก็วาดรายละเอียดของบ้านที่กินพื้นที่ประมาณ 4,000 ตารางฟุตอยู่ในไร่ขนาด 200 เอเคอร์ตามความฝันของเขาเขาใส่รายละเอียดความฝันของเขาลงไปทั้งหมด และวันรุ่งขึ้น เขาก็ส่งกระดาษแผ่นนั้นให้ครู สองวันต่อมา คุณครูของเขาส่งเรียงความกลับคืน โดยมีตัวอักษรเอฟสีแดงตัวใหญ่กาไว้ที่หัวกระดาษ และมีข้อความเขียนไว้ว่า "มาพบครูหลังเลิกเรียน"

เด็กชายผู้มีความฝันจึงไปพบครูหลังเลิกเรียนตามที่สั่ง และถามว่า "ทำไมผมถึงได้เอฟ" ครูของเขาตอบว่า "เพราะฝันของเธอไม่มีทางเป็นไปได้สำหรับเด็กอย่างเธอ เธอไม่มีเงิน เธอมาจากครอบครัวร่อนเร่และขาดปัจจัยที่จำเป็นตั้งหลายอย่าง การที่จะเป็นเจ้าของทุ่งเลี้ยงม้าได้ต้องใช้เงินเยอะมาก เธอต้องซื้อที่ดิน ต้องซื้อม้าพ่อพันธุ์แม่พันธุ์ และต้องซื้อม้าแข่งอีกตั้งหลายตัว เธอไม่มีทางทำได้แน่” ครูยังพูดอีกว่า "ถ้าเธอเขียนเรียงความมาใหม่ให้มันเป็นไปได้มากกว่านี้ บางทีฉันอาจจะพิจารณาคะแนนของเธอใหม่"

เด็กผู้ชายคนนั้นกลับบ้านและคิดถึงเรื่องนี้อย่างหนักและยาวนาน เขาถามพ่อของเขาว่าควรจะทำอย่างไรดี พ่อของเขาตอบว่า "ลูกต้องตัดสินใจเรื่องนี้ด้วยตัวเอง พ่อคิดว่ามันเป็นการตัดสินใจครั้งสำคัญของลูก"

ในที่สุด หลังจากที่นั่งคิดเป็นอาทิตย์ เด็กชายคนนั้นก็ส่งเรียงความแผ่นเดิมกลับไปโดยไม่แก้ไขอะไรทั้งสิ้น เขาเขียนเติมไปว่า "คุณครูจะให้เอฟผมก็ได้ แต่ผมจะรักษาความฝันของผมไว้" 

จากนั้นมอนตี้ก็หันไปพูดกับกลุ่มคนที่ยืนรายรอบเขา "ที่ผมเล่าเรื่องนี้ให้คุณฟัง ก็เพราะว่าพวกคุณกำลังนั่งอยู่ในบ้านขนาด 4,000 ตารางฟุตของผม ที่ตั้งอยู่ในไร่เลี้ยงม้าขนาด 200 เอเคอร์" "ผมเก็บเรียงความแผ่นนั้นใส่กรอบติดไว้ที่เตาผิง" เขาเสริมว่า "สิ่งที่ดีที่สุดของเรื่องนี้คือ เมื่อสองฤดูร้อนที่ผ่านมา คุณครูคนเดียวกันนี้พาเด็ก ๆ 30 คนมาตั้งแคมป์ที่ไร่ของผมเป็นเวลาหนึ่งอาทิตย์ และตอนที่คุณครูกำลังจะกลับ เขาก็พูดขึ้นว่า "นี่มอนตี้ ฉันมีอะไรจะพูดกับเธอ ตอนที่ฉันเป็นครูของเธอ ฉันก็เหมือนกับโจรขโมยความฝัน ในช่วงที่ฉันสอนหนังสือ ฉันขโมยความฝันของเด็กไปหลายคน โชคดีที่เธอกล้าหาญพอที่จะเดินตามความฝัน"

อย่าให้ใครขโมยความฝันของคุณไป จงเดินตามหัวใจของคุณไม่ว่าอะไรจะเกิดขึ้น

แจ๊ก แคนฟิลด์

วันอาทิตย์ที่ 14 กันยายน พ.ศ. 2551

เยือนเหนือฯ (5) - จุดหมายคือห้วยน้ำดัง


ที่จอดรถและจุดชมวิวอยู่ติดกัน
ข้างๆ เป็นศูนย์บริการนักท่องเที่ยว
ที่วันนี้คงจะไม่บริการกระมัง
ก็คงต้องหยุดบ้างอะไรบ้าง
เราเสียอีกมาถูกที่แต่ผิดเวลาเอง

ฝนที่ปายตามมาส่งถึงห้วยน้ำดัง ทั้งอุทยานเป็นของเราสองคนจริงๆ ผ่านโค้งไปจนถึงจุดหมายแต่เหตุการณ์ก็ไม่ได้เป็นไปตามคิดนัก เราสองคนไม่สามารถติดต่อได้ที่พักตามใจที่ต้องการได้ .. คืนนี้ .. ที่นอนหมอนผ้าห่มที่เตรียมมาจึงได้โอกาสออกมาทำหน้าที่ของมันได้เต็มที่

พลขับเห็นสมควรขับรถวนดูบรรยากาศดังเช่นที่เคยทำทุกที่ที่ไปถึง ฝนที่ปายไม่ตามมาแล้ว แต่ลมและฝนที่ห้วยน้ำดังกำลังเริ่มมาต้อนรับเราอย่างเต็มที่ ถ้าใครอยู่ที่ห้วยน้ำดังเย็นวันนั้น จะเห็นแท๊กซี่คันหนึ่งที่ขับร่อนสำรวจอุทยานไปทั่วทุกที่ทุกทาง และในคืนนั้นเอง ที่มีคนสองคนกอดกันกลมเดินฝ่าความหนาวออกจากรถมากลางดึกเพื่อเข้าห้องน้ำทำธุระส่วนตัว

ราตรีอีกยาวไกล ฉันหลับสบายบนรถรวดเดียวจนเช้าแบบไม่ต้องอาบน้ำล้างหน้าแปรงฟันหลังจากที่ดูหนังซีรี่ย์เกาหลีจากเครื่องคอมฯ จนแบตหมดพร้อมตาฉันที่เริ่มง่วงได้ที่พอดี

อากาศในรถอุ่นกำลังดี เช้าๆ วันนี้ทะเลหมอกไม่มี มีแต่ลมโชยมาเป็นระลอกกับฟ้าขาวๆ และความหนาวเย็น...ฉันออกไปถ่ายรูปเล่นกับคนข้างๆ สักพักก็ลาจากห้วยน้ำดัง เนื่องจากได้ยินท้องเรียกร้องอาหารมาเติมแล้ว...

เยือนเหนือฯ (4) - ยังคงปาย...


สะพานฝั่งโน้นปิดอยู่
เราจึงเดินมาเข้าอีกฝั่งแทน

อยู่เที่ยวปายจนพอใจ..

ออกจากปายโดยมีฝนมาสั่งลาปรอยๆ ให้เปียกปอนเล็กน้อย หลังจากตัดสินใจไม่ขึ้นไปต่อที่แม่ฮ่องสอน เราจึงหันรถกลับไปทางที่มา จุดหมายคืนนี้คงเป็นที่ใกล้ๆ ไม่กี่กิโล เราจะไปพักคืนนี้ ที่ห้วยน้ำดัง เพื่อที่พรุ่งนี้ เราจะตื่นมาพร้อมทะเลหมอก จินตนาการไว้ได้ตระการตายิ่งนัก

วันเสาร์ที่ 13 กันยายน พ.ศ. 2551

เยือนเหนือฯ (3) - ปายอีก...


ไม่รู้จะเอาอะไรมาแทนสัญลักษณ์ของปายดี

ถึงปายแล้ว แต่ยังคิดไม่ออกว่าจะไปตะลอนที่ไหนบ้าง ตามธรรมเนียมก็ขับรถชมเมืองไปเรื่อยก่อน ปายยามนี้สงบดีนักแล ดูวัด ดูคน พร้อมมองหาที่พักไปพรางๆ หิวก็แวะกินร้านที่อยากเข้าไปตามเรื่อง หลายร้านคงถูกแนะนำตามเว๊ปไซด์ตามหนังสือบ้าง ซึ่งก็ไม่มีผลกับเราตอนนี้ที่ไม่ได้เที่ยวตามตำราเล่มใดๆ เลย … ไม่จำเป็นต้องจองก่อน ไม่จำเป็นต้องแย่งกับใคร ก็มันว่างซะเหลือเกินนี่นะ ที่พักก็เดินเลือกได้ตามใจกระเป๋านั่นเอง
อิ่มท้องแล้วก็หาที่พักแล้วก็มองที่เที่ยวไปด้วยกัน ดูจากแผนที่คร่าวๆ ที่มีติดไว้ตามถนนแล้วก็ถามชาวบ้านไปเรื่อยๆ อยู่ปายสองวัน ก็เที่ยวได้เกือบทั่ว ติดใจที่ไหนก็อยู่นานหน่อยเท่านั้นเอง

กองแลน
สะพานประวัติศาสตร์
ร้านกาแฟ coffee in love และ all about coffee
ตลาดมืด
วัดน้ำฮู
บ้านสันติชล
น้ำตกหมอแปง
พระธาตแม่เย็น
บ่อน้ำร้อนท่าปาย

ที่ปายค่ากาแฟกับเค้กแพงกว่าค่าที่พักที่เราไปพักทั้งคืนเสียอีก แต่ก็ชอบ coffee in love เป็นสถานที่ที่ตกแต่งไว้สวย วิวกินกาแฟสวย หันไปทางไหนก็สวยไปหมด ส่วน all about coffee ก็เป็นร้านออกแนวติ๊สท์ๆ ไปนั่งอยู่นาน เขียนโปสการ์ดได้เป็นปึกๆ ก่อนตะลอนทัวร์ต่อ เสียดายที่ภาพถ่ายความทรงจำบางส่วนหายไปเพราะเทคโนโลยีอันทันสมัยที่เราตามมันไม่ทันเอง…

บางสถานที่ที่ปายก็อยู่ระหว่างปรับปรุง บางที่ก็ปิดไปเลย...คงเป็นช่วงที่ปายจะได้พักผ่อนหายใจฟื้นฟูตัวเองก่อนจะเริ่มฤดูใหม่ในอีกไม่กี่เดือนข้างหน้านี้

วันพุธที่ 10 กันยายน พ.ศ. 2551

เยือนเหนือฯ (2) - ปาย


เป็นที่พักที่ไม่ต้องจองล่วงหน้าcheck-in เมื่อไรก็ได้ แต่ต้องโทรบอกก่อน เพราะตานอนไว

หลังจากอาหารค่ำแถวกาดอะไรซักอย่างเราก็มา check-in ที่บ้านตา ยังไม่คุยอะไรมาก มาถึงเราก็นอน เช้าค่อยว่ากัน


เมื่อวานมาถึงเชียงใหม่ก็เกือบค่ำๆ ไปวนรถเที่ยวรอบๆ ดูชีวิตกลางค่ำกลางคืนซะหน่อย (ความจริงคือ หลง งงกับคำอธิบายทางไปบ้านตาเหลือเกิน) แวะกาดม่วนใจ๋ กินข้าวปลาให้ิอิ่มท้องก่อนเข้าบ้าน ยายจะได้ไม่ต้องวุ่นวายหาของกินให้

ทางเข้าบ้านผ่านร้านที่ยายขายของก่อน ยายนอนบ้านนี้ ส่วนตาก็ไปไปมามา เราไปถึงก็เย็นย่ำแล้ว แต่ยายยิ้มใจดีพาเราเข้าไปนอนบ้านข้างในกับตา ตาหลับไปแล้วตามคาดเลยต้องปลุกมาเปิดประตูให้ เข้าบ้านได้ก็แยกกันคนละห้องต่างคนต่างง่วงแล้ว...พรุ่งนี้ค่อยคุยกัน

เช้ามาพวกเราก็ออกแต่เช้าทักทายตา-ยายเล็กน้อย เอาไว้ก่อน... ไว้ขากลับจะแวะมาอีก แล้วเราก็ออกเดินทางทันที วันนี้ต้องไปอีกหลายโค้ง จุดหมายคือ ปาย .....

ปายช่วงนี้เป็นช่วงโลว์เพราะเป็นหน้าฝน พลขับต้องระวังในการขับรถมากขึ้นเพราะทางเป็นทางโค้งแต่ถนนก็ลาดยางอย่างดี ฉันไม่มีความรู้สึกเวียนหัวเหมือนที่เคยมาปายคราวก่อนเลยสักนิด อากาศเย็นสบาย ชีวิตไม่เร่งรีบ ราวกับว่าเป็นเมืองปายแท้ๆ ที่ไม่ต้องแย่งกันอยู่แย่งกันกินเหมือนช่วงหน้าเที่ยวกระมัง ฉันจึงรู้สึกสบายใจบอกไม่ถูก ที่พักก็ขับรถเลือกได้ตามสบาย อาหารก็ค่อยๆ ดู ค่อยๆ เลือกได้ ปายช่างเป็นปายที่แท้จริงดีแท้

ระหว่างทางเราก็แวะไปตามใจกันเองตลอด 2 คน เพราะไม่มีใครเลย ..

วันอังคารที่ 9 กันยายน พ.ศ. 2551

เยือนเหนือ..เมื่อครา..ฟ้าพรำฝน (1)


พี่โจกับแท๊กซี่คู่ใจ

ฉันถือโอกาสลาพักร้อนหยุดติดต่อกันได้ 9 วัน เพื่อนหลายคนถามว่าไปเที่ยวไหนบ้าง แต่คำตอบที่ออกจากปากฉัน ตอบได้แค่คำว่า จะขึ้นเหนือ ฉันไม่รู้จะบอกว่าไปไหน เพราะทริปนี้เป็นทริปที่ไม่คิดอะไรเลย วางแผนได้คร่าวๆ มาก

จนวันที่จะออกเดินทาง รถมุ่งหน้าขึ้นเหนือ เราถึงคุยกันบนรถว่าจะไปนอนที่ไหนดีระหว่างทางก็แวะไปเรื่อย และเป็นอย่างนี้ไป ทั้งทริป

สนุกมาก...เพราะในบางคืนถึงกับไม่มีที่นอนเลยทีเดียว แต่เราสองคนก็เตรียมพร้อมที่จะนอนบนรถได้สองคนอย่างไม่ลำบากยากเย็นอะไร (อุปกรณ์ หมอน ผ้านวม หรือกระทั่งเต๊นท์ ครบเซ็ทอยู่ในรถนั่นแหล่ะ)

เป็นทริปฉลองวันเกิดที่สนุกมาอีกทริปที่ฉันจะจำไปนาน

ฉันออกจากบ้านคืนวันศุกร์ในวันทำงานสุดท้ายของอาทิตย์นั้น เรามีสัมมนาที่ วังรีรีสอร์ท นครนายก 2 คืน 2 วัน ฉันต่อที่วังรีอีก 1 คืน รวมเป็น 3 คืนที่วังรี พวกเราก็เริ่มต้นขึ้นเหนืออย่างแท้จริง

จุดหมายแรกที่เราคุยกันคืนต่อไปคือ เชียงใหม่
เราจะไปเริ่มต้นเมื่องเหนือคืนแรกเชียงใหม่กัน

กลอนอกหักบทแรกของอาหมวยคนหนึ่งกับเพื่อนคนหนึ่งที่อาหมวยเพิ่งหาเจอ

เมื่อเด็กๆ ที่ยังไม่ได้เป็นอาโกวของใครเลย ... ฉันช่างสามารถมาก .. ทำอารมณ์ซึม เศร้า เหงา และรักได้ ทั้งที่ไม่มีอะไรเกิดขึ้นในชีวิต แค่อ่านหนังสือเศร้าๆ ซึ้งๆ สักเล่ม ก็เหมือนตัวเองเป็นตัวเอกในเรื่องเสียเอง ... แค่ฟังเพลงหวานๆ ซักเพลง ก็คล้ายว่าน้ำตาลจะเกาะ มดจะขึ้นหัวใจซะงั้น ฝนตกก็ทำตัวเหมือนคนอกหัก อย่างนี้มั้งที่เขาเรียกว่าสามารถบิ๊วท์อารมณ์เองได้ (คิดแล้วก็ขำ – ช่างขัดกับบุคลิกภายนอกอย่างสิ้นเชิง)

มีกลอนที่หัดแต่งไว้บทหนึ่ง คิดเอาเองว่าจบแล้ว ฉันส่งให้เพื่อนทางตัวหนังสือคนหนึ่งอ่านเล่นๆ แล้วสุดท้ายมันก็หายไปจากชีวิตฉันพร้อมๆ กับเพื่อนคนนั้น


สายลม พรมพริ้ว
พัดปลิว ทิวไม้
ดอกหญ้า แกว่งไกว
พร่างพราย สายชล

พายุ กระหน่ำ
สาดซ้ำ สายฝน
เปียกปอน เปื้อนปน
ระคน น้ำตา


หลังจากมีเหตุการณ์ประหลาดที่ทำให้เราสองคนต่อกันติดได้อีกครั้งเมื่อไม่นานมานี้  ฉันนึกถึงเจ้ากลอนบทนี้อีกครั้ง และฉันยังจำได้อีกว่าเพื่อนฉันเขียนกลอนต่อจากที่ฉันแต่งไว้มาให้ฉัน ตัวหนังสือที่เขียนส่งมาอยู่ไหนก็ไม่รู้แล้ว แต่ฉันกลับท่องจำมันได้ทุกตัวอักษรไม่มีผิดแม้ตัวเดียว

ก็เคย ให้รัก
รู้จัก ยิ่งกว่าเพื่อน
ความหลัง ย้ำเตือน
รักเคลื่อน เหมือนลม

หลอกใจ ว่าลืม
ยิ้มชื่น ระรื่นสม
แต่ใจ กลับตรม
ขื่นขม เดียวดาย

เพื่อนของฉันคนนั้นชื่อ “แก๊งค์



วันอังคารที่ 2 กันยายน พ.ศ. 2551

กระทบไหล่ TaB V3


เดี๋ยวจะไม่เชื่อเลยต้องมีป้ายมายืนยัน
และถือโอกาสโฆษณาบริษัทไปในตัวด้วย

แว่วว่าแม่จะพาไปตัดผมที่สยาม
มาทำธุระที่ตึกที่ทำงานนิดหน่อย
... ไฉนเลยจะพลาด
ขี้นมาให้อาอาได้ปลื้มหน่อยเนอะ

วันจันทร์ที่ 1 กันยายน พ.ศ. 2551

เด๋อด๋า...แบบอากู๋ (บุคคลธรรมดาอีกคนของฉัน)

อากู๋ น้องชายคนเดียวของหม่าม้า อากู๋ใจดีมากๆ
ที่รู้ๆ ก็เห็นแต่อากู๋ขายก๋วยเตี๋ยวไม่เคยทำอาชีพอื่น
ถ้านึกถึงอากู๋ ก็ให้นึกถึงคนจีนเด๋อด๋าคนหนึ่ง
ที่ชอบฉกก๋วยเตี๋ยวให้ฉันกินฟรีฟรี ...
แถมยังใส่ถงติดไม้ติดมือไปฝากใครต่อใครอีกทั้งบ้าน

อากู๋ผ่านเหตุการณ์เฉียดตายมา 2 ครั้ง
ครั้งแรกอากู๋เป็นโรคอะไรไม่รู้เกี่ยวกับเลือด
รู้แต่ว่าอากู๋ต้องไปนอนโรงพยาบาลหลายวัน
และก็ช่วงนั้นเองทำให้่ฉันเป็นโรคกลัวเสียงโทรศัพท์ตอนดึกๆ

มีอยู่คืนหนึ่งหมอโทรเรียกญาตให้ไปดูใจอากู๋เพราะความดันตกลงเรื่อยๆ
แต่ก็มีปาฏิหารย์ อากู๋ก็รอดมาได้

อีกครั้งก็คราวที่อากู๋โดนรถเกือบสิบล้อฝ่าไฟแดงมาเสย
จากที่อากู๋ขี่มอเตอร์ไซด์แล้วรถติดอยู่คันแรก...พอไฟเขียวอากู๋ก็ออกตัว
ไปเจอกะรถที่ฝ่าไฟแดงมาพอดี (ตัวอากู๋เองก็ตาฝ้าฟางไม่ค่อยดีมานานแล้ว)

สลบไปกี่วันไม่รู้ แต่อากู๋ก็รอดมาได้
ฉันอยากเขียนเรื่องของอากู๋ก่อน เพราะอากู๋กำลังมีเรื่องให้ฉันเขียน....
หวังว่าปาฏิหารย์จะมีจริงอีก

ขอให้อากู๋รอดอีกครั้งนะอากู๋นะ

อ่านเรื่องของอากู๋

 

นครนายก..


กว้างใหญ่มาก
แบบว่า ใช้พื้นที่ร่วมกัน



เหมือนไม่ค่อยให้ความสำคัญกับสิ่งใกล้ตัว
มาสัมมนาที่วังรีรีสอร์ทเกือบทุกเดือน
แต่ไม่คิดจะขึ้นไปเที่ยวที่เขื่อนเลย

คราก่อนว่าง ผ่านไปปากทางขึ้น ก็ดั๊นมาติดเวลาซะอีก
เหมือนจะหยามหน้ากันชัดชัด
งวดนี้เลยเป็น อะมั๊ส ต้องแว๊บไปให้ได้
ถึงจะฝนตก ก็ได้ความรู้สึกไปอีกอย่าง..


วันอาทิตย์ที่ 31 สิงหาคม พ.ศ. 2551

วิถีไทยรีสอร์ท สุพรรณบุรี


สามารถเอารถเข้าไปจอดเทียบได้ที่หน้าห้อง บรรยากาศร่มรื่นไม่เบา

ตามเค้ามาประชุมแบบไม่ได้คาดหวังอะไรกับที่กินที่นอนมาก
แต่ด้วยความไม่คาดหวังหรืออะไรก็แล้วแต่
กลับทำให้สิ่งที่ได้กลับเกินคาดเสียเหลือเกิน

จึงเสมือนได้เป็นการเปลี่ยนบรรยากาศกินนอนที่ไมเลวเลยทีเดียว
แถมได้ความรู้กลับบ้านติดตัวเป็นกำไรอื้อซ่า

มีความสุขกับการไม่คาดหวังดีแท้

วันอังคารที่ 26 สิงหาคม พ.ศ. 2551

ญอ.ใหญ่

http://yor-yai.blogspot.com/
ไม่เข้าใจว่าสร้างบ้านไปทำไม...เยอะแยะ

แต่ก็มีไปแล้ว

บางอันก็ซ้ำกันไปซ้ำกันมา
ก็ยังไม่ปักใจเลือกบ้านไหนซักบ้าน

ก็ไปไปมามา ก็ช่างเหอะ
ไม่ต้องเสียภาษีโรงเรือนอะไรนินา

วันอาทิตย์ที่ 24 สิงหาคม พ.ศ. 2551

My SuperHero ในดวงใจ

http://prapas.com/
ได้แต่เข้าไปลงชื่อเยี่ยม
คล้ายเป็นแหล่งรวบรวมผลงาน
ไม่มีอะไร update บ่อยมาก
แต่ก็ชอบเข้าไปอ่านให้หายคิดถึง

วันเสาร์ที่ 15 มีนาคม พ.ศ. 2551

ป่าป๊า-บุคคลธรรมดาๆคนแรกของฉัน

ป่าป๊าเป็นคนจีนนั่งเรือสำเภามาจากแผ่นดินใหญ่มาลงที่คลองเตยตั้งแต่อายุ 17 มาพร้อมกับอากง อาม่าและน้องชาย 1 คน แล้วก็ปักหลักแถวคลองเตยมาจนมีหม่าม้า มีแม่ มีพวกฉันตามมาอีก 5 คน ปัจจุบันบ้านแม่ก็ยังอยู่คลองเตยไม่คิดจะย้ายไปไหน เคยย้ายอยู่ครั้งตอนฉัน 7 ขวบ ก็ย้ายจากแถวตลาดคลองเตยมาอยู่อีกฝั่งตรงตึกไทยคลองเตยเพราะบ้านที่เช่าเขาไม่ให้เซ้งต่อ ป่าป๊าจึงมาซื้อตึกแถวใกล้ๆ แค่ข้ามถนนมาแค่นั้น ไม่ได้ไปไหนไกลเล้ย มีก็แต่ลูกๆ ที่แยกย้ายกันไปสร้างครอบครัวตัวเอง ปัจจุบันนี้ตัวป่าป๊าเองยังไป-กลับเมืองจีนเป็นว่าเล่นทุก 3-4 เดือน ที่บ้านจึงเหลือผู้หญิงมีอายุอยู่แค่ 3 คน พวกพี่ชาย น้องชายฉันก็ไป-กลับทุกวัน เพราะทำงานที่กงสีของป่าป๊า รับเงินเดือนจากป่าป๊าอยู่ น้องสาวก็ปลีกตัวไปสร้างชีวิตไกลที่ต่างแดน ส่วนฉันก็แต่งออกมามีไปแวะไปเยี่ยมบ้างอาทิตย์ละครั้งสองครั้งเพราะคิดถึงแม่กะหม่าม้า

 

อาม่ากะอากงเสียไปตั้งนานแล้ว ฉันเคยเห็นแต่อากง แต่ไม่เคยเห็นอาม่า แม่เล่าว่าอาม่าเสียตั้งแต่อายุน้อยแค่ 37 เพราะทำงานหนักและช้ำใจที่อากงเจ้าชู้มี่เมียหลายคน ป่าป๊ามีพี่น้องที่ไม่ได้เกิดกับอาม่าคนเดียวกันอีกหลายคน ฉันเคยเห็นบ้างก็ตอนรวมญาตเทศกาลเชงเม้ง ไม่ค่อยสนิทสนมมากนัก และป่าป๊ายังมีน้องชายอีกคนที่อากงไม่ได้อุ้มมาด้วยตอนขึ้นเรือมา ปัจจุบันอาเจ็กคนนี้ (น้องชายป่าป๊า) ลงหลักปักฐานอยู่ที่ฮ่องกง นอกจากนั้น ป่าป๊าก็ยังมีน้องสาวอีกคนที่อาม่ามาท้องตอนอยู่เมืองไทยและป่าป๊าก็ช่วยกันเลี้ยงจนโตหลังจากอาม่าเสียไปแล้ว

 

ตอนที่มาที่เมืองไทยตอนแรกๆ ทุกคน (ป่าป๊า อาม่า อากง) ต้องไปเป็นจับกังรับจ้างแบกน้ำที่ท่าเรือ ลำบากมาก เพื่อให้ได้ข้าวกินไปวันๆ อาหารแต่ละมื้อก็หาเนื้อกินยากมาก ประเภทหมูเห็ดเป็ดไก่อย่าไปหวัง ปลาหนึ่งตัวต้องใช้มองห้ามตักเข้าปาก นี่เป็นเรื่องจริง ป่าป๊าลำบากแต่ก็ขยันจนสามารถตั้งตัวได้ มีบ้านมีรถ ฉันเห็นป่าป๊าทำมาค้าขายหลายอย่าง ตั้งแต่ชีวิตขึ้นขีดสูงสุด จนกลับมาตกต่ำไม่มีเงินติดหนี้สินก็มี

 

แต่ลำบากยังไง ป่าป๊าเลี้ยงพวกเราสบายทุกคนมีกินมีใช้แบบไม่เคยขาดมือ ป่าป๊าส่งลูกทุกคนเรียนเท่าที่ปัญญาใครจะเรียนได้ มีแค่น้องสาวฉันเพียงคนเดียวที่เรียนสูงที่สุด ได้ปริญญาโทไม่รู้กี่ใบเอาไปแปะอะไรก็ไม่ได้ อิอิ

 

ป่าป๊ารักลูกชายมากตามประสาคนจีนทั่วไป ส่วนลูกสาวก็หวงเพราะความที่ป่าป๊าเจ้าชู้ เลยกลัวลูกสาวจะเสียทีคนเจ้าชู้ เมื่อเด็กๆ อย่าหวังเลยว่าฉันจะได้ไปเที่ยวค้างคืนที่ไหน ไปทัศนศึกษากับโรงเรียนยังไม่กล้าแม้แต่จะเอ่ยปากขอ ฉันเคยทะเลาะอย่างรุนแรงกับป่าป๊าอยู่หนหนึ่งเมื่ออายุ 18 แรงมากเพราะฉันไม่คุยกับป่าป๊าเลยถึงสองปี ช่วงสองปีที่ไม่คุยกับป่าป๊า ฉันประชดด้วยการตามเพื่อนไปเที่ยวๆๆๆๆ ต่างจังหวัดที่เคยอยากไปแต่ไม่กล้าขอ เกาะเสม็ด พัทยา ระยอง หัวหิน ประจวบฯ กับกลุ่มเพื่อนที่โรงเรียน ซึ่งโชคดีมากเพื่อนฝูงที่ฉันคบไม่ได้นำพาไปในทางเสียคนแต่อย่างใด เพราะหากเป็นอย่างนั้น ฉันก็พร้อมจะเสียคนได้อย่างง่ายดายเหลือเกิน

 

ฉันนึกน้อยใจที่เป็นลูกผู้หญิงป่าป๊าไม่ปลื้ม ความที่ขี้แยทำให้ป่าป๊าต่อว่าว่าฉันเป็นคนอ่อนแอ ออเซาะ และไม่ฉลาด หนที่ทะเลาะรุนแรงจำไม่ได้ว่าเรื่องอะไร รู้แต่ว่าป่าป๊าลงไม้ลงมือ ทุกครั้งที่ดื้อป่าป๊าตีไม่เลี้ยง แต่ครั้งนี้ฉันเถียงอะไรไม่รู้ ป่าป๊าตบปากหนึ่งครั้งและบอกว่า มึงไม่ต้องมาเป็นลูกกู แค่เนี๊ยะ ฉันร้องไห้ร้องๆๆๆๆๆๆๆๆๆ และไม่พูดกะป่าป๊าอีกต่อไป

 

แล้วจู่ๆ วันหนึ่ง ฉันก็เข้าไปพูดกับป่าป๊า เข้าไปกอดและเรียก ทำแค่นั้น น้ำตาก็ไหลๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆ  ป่าป๊าทำไม่สนใจ แต่ฉันก็ทำซ้ำๆ ทุกวันจนเราสองคนกลับมาเป็นป่าป๊ากับหมวยใหญ่คนเดิม (ป่าป๊าตั้งชื่อฉันว่าหมวยใหญ่)

 

ปัจจุบัน ป่าป๊าอายุประมาณ 72 ป่าป๊าดูแก่ตัวลงไปมาก ป่าป๊ายังทำงานอยู่ ตั้งแต่ฉันคุยกะป่าป๊าครั้งนั้นหลังจากฉันจบออกมาและไม่ได้เรียนต่อ ฉันหางานทำในบริษัทเอกชน ไม่เคยขอตังค์ป่าป๊าใช้อีกเลยตั้งแต่ฉันอายุยังไม่เต็มยี่สิบดี ชีวิตการทำงานฉันผ่านเรื่องราวอะไรมากมาย ทำให้ฉันรักป่าป๊ามาก ป่าป๊าไม่ใช่คนดีเลิศประเสริฐศรีอะไร เจ้าชู้ มีเมียหลายคนเหมือนอากง นั่นทำให้ฉันต้องมีแม่สองคนคือหม่าม้ากะแม่ และจะยังอีกไม่รู้กี่เมียนับไม่ถ้วน ไม่ว่าสิ่งที่ป่าป๊าทำจะผิดหรือถูก หรือใครจะเรียกว่างี่เง่า แต่ฉันก็จะรักป่าป๊าของฉัน รักแบบไม่มีเงื่อนไข ฉันอยากให้ป่าป๊าได้พักผ่อนหัวสมองเสียที ตั้งแต่ 17 จน 70 กว่าแล้ว นอกจากปากที่ว่ารักฉันอยากมีเงินมากพอให้ป่าป๊านั่งชิวๆ อยู่บ้าน ปลูกต้นไม้ เลี้ยงไก่ แบบที่ป่าป๊าชอบ ถ้าอยากทำอะไรก็ทำเพราะชอบทำ ไม่ใช้ทำเพราะต้องทำเพราะเป็นห่วงลูกและเมีย

 

อยากบอกว่าฉันรักป่าป๊ามาก ป่าป๊าเป็นบุคคลธรรมดาที่สำคัญอันดับหนึ่งในชีวิตฉัน

บุคคลธรรมดาๆ ของโลก

จั่วหัวไว้ ตั้งใจเขียนบันทึกเรื่องราวของบุคคลธรรมดาๆ จำนวนหนึ่ง 

 

บุคคลเหล่านี้ ไม่ได้เป็นบุคคลสำคัญของโลกแต่อย่างใด

 

เป็นเพียงแค่ใครหลายคน แต่มีอิทธิพลหล่อหลอมอันสำคัญสำหรับคนธรรมดาอย่างฉัน ที่ทำให้เรา(พวกคุณและตัวฉันเอง)รู้ว่า...ชีวิตเล็กๆ ของเรามีคุณค่าต่อกันและกัน

 

ป่าป๊า-  นักสู้ผู้ยิ่งยง

แม่- ความรักที่ไม่มีเงื่อนไข

หม่าม้า- ตัวอย่างของความอดทน

พี่โจ- กำลังใจที่ยิ่งใหญ่

พี่ชาย-น้องชาย-น้องสาว รวมถึงหลานๆ ทั้งเจ็ด (ไม่ใช่คนแคระกับสโนว์ไวท์เนอะ) และที่อาจจะมีตามมาเพิ่มขึ้นอีก

พี่มด/พี่หมอ ตัวอย่างที่ดี(มีค่ามากกว่าคำสอน) ผู้ให้โอกาสและแรงบันดาลใจที่มีคุณค่า

 

และยังจะเพื่อนร่วมโลกอีกหลายคน อันจะกล่าวถึงเป็นรายบุคคลต่อๆ ไป

 

.....สุดท้ายอยากบอกว่า รักทุกคนมากๆ

วันอังคารที่ 4 มีนาคม พ.ศ. 2551

ร่ำลาเมืองตรัง...พักครึ่งทางที่ประจวบ


กลับแระ
ลาแระนะ ตรัง
ก็เริ่มจากตรังก็ต้องเป็นว่าขึ้นเหนือสิ เนอะ

แยกจากเพื่อนที่ตรัง...
..ตั้งใจชิวๆ ไปเรื่อย ให้สบายใจคนขับ
ไม่ต้องเร่งไม่ต้องรีบ ค้างประจวบอีกสักคืน เก็บประจวบอีกสักวัน
ก่อนกลับ ไปทำงานที่ กทม.

วันจันทร์ที่ 3 มีนาคม พ.ศ. 2551

ตรัง..ไม่ตั้งใจ แต่ประทับใจ


ยางแตก
จึงทำพิธีเปลี่ยนล้อ
เหมือนเป็นหนึ่งในโปรแกรมท่องเที่ยวครั้งนี้

เป็นทริปธรรมดา ๆ ธรรมดา ที่ประทับใจมากมาย
...ขอบคุณเพื่อนจากโลกเสมือนที่รู้จักกันจาก PostcardLovers Club - pantip...
เบญ - นู๋หิ่นอินตรัง (ขออนุญาตเอ่ยนาม) ต้อนรับขับสู้ ทั้งๆ ที่เพิ่งจะรู้จักกัน
.... ประทับใจก็ตรงนี้นี่เอง ....
ขอบคูณเพื่อนร่วมทริป เอ้ Snoopy in BKK และที่ไม่ได้เอ่ยนาม
ที่ทำให้ทริปธรรมดานี้ ไม่ธรรมดาเลยจริงๆ ..

วันเสาร์ที่ 23 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2551

hi5 - GoYai


http://look4yai.hi5.com
อีกบ้านที่ไปสร้างไว้ด้วยความกระดี๊กระด๊ากับเทคโนโลยีใหม่ๆ
ไม่ถึงกับสวยจนแบบที่วาดฝัน
ไม่ได้รับรางวัลใดๆ ทั้งส้ิน
ไม่มีเพื่อนเยอะแยะมากมาย
ตรงข้าม กลับน้อยด้วยซ้ำ

แต่ฉันก็รักของฉัน

วันพุธที่ 20 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2551

ป้าก็ป้า...

ว้าว!!

ตื่นตาตื่นใจเหลือเกินกับโลกเสมือนแห่งนี้

สำหรับคน generation-X แบบเรา มันช่างมีอะไรให้เรียนให้รู้ซะมากมาย

ไหนจะ hi5 ไหนจะ Multiply ไหนจะ Space ไหนจะ Blog Gang ของ Pantip

ช่างมีอะไรให้เล่นให้ลองเยอะแยะไปหมด

เห็นแล้วเกิดอาการฟุ้งในใจอยากเดิ้นขึ้นมาตะหงิดๆ

 

แต่ชีวิตอะนะ ยังมีอะไรอีกตั้งเก้าลอเก้า

ต้องกิน ต้องนอน ต้องสร้างชีวิต ต้องใช้ชีวิต ต้องทำมาหาเที่ยว

 

ยอมก็ยอมฟร๊า

ยอมเป็นคนโลว์เทคตกเทรนด์จนชาวบ้านชาวช่องรุมเรียกป้า

ก็หนึ่งวันไม่ได้มีสี่สิบแปดชั่วโมงนี่หว่า

คงไม่ได้ไปหมดทุกอย่างหร่อก

คำนวนดูแล้ว ดัชนีความสุขยังพุ่งสูงอยู่ ถือว่าโอนะเนี่ย

 

วันอังคารที่ 12 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2551

Emmy - หมวยน้อยของโกว


แบ๊วมาก

1 2 3 4 5 6 7 คนแล้ว โกวใหญ่มีหลาน 7 คนแล้ว
เอ็มมี่ เอมิกา เป็นหลานคนที่อายุน้อยที่สุดในตระกูลตอนนี้

หน้ามันหมวยเหมือนโกวเลยฟร่ะ ชักหลงรักซะแระ
แม่เค้าตั้งชื่อเป็นฝรั่งว่า Emmy แต่โกวจะเรียกว่า หมวยน้อย
หมวยน้อยของโกว