วันอาทิตย์ที่ 28 กันยายน พ.ศ. 2551

เยือนเหนือฯ (8) - จากลำปางถึงกำแพงเพชร




ออกจากแจ้ซ้อนก็เลาะมาที่ตัวเมืองลำปางกันก่อน แวะชมสถานที่ระหว่างทางบ้างเพราะเวลายังเหลือเฟือ ยังไม่มั่นใจว่าคืนนี้จะไปค่ำที่ไหนดี ไปแวะกินข้าวร้านที่ผ่านไปเจอ ก็ให้นึกคุ้นๆ ว่าเคยเข้ามาเมื่อคราวก่อน ดูดูไปลำปางไม่มีอะไรเปลี่ยนแปลงจากปีก่อน แต่กลับไปสะดุดเจ้าป้ายหลักกิโลยักษ์ตอนที่ติดไฟแดงอยู่เลยมิวายต้องกลับรถเข้าไปยลใกล้ๆ

ร้านกาแฟในปั๊มมีเนทให้เล่นฟรีด้วย ไม่ธรรมดาเลย เราเข้าเนทเช็คข้อมูลที่เที่ยวต่อหลังจากที่กางแผนที่แล้วคิดกันว่าเราควรจะไปมืดที่กำแพงเพชร

ได้ข้อมูลที่ท่องเที่ยวมาสมใจ นี่ไง จุดหมายเราคือช่องเย็น แล้วระหว่างทางมีเวลาแวะที่อื่นบ้างอะไรบ้างอย่างอุทยานประวัติศาสตร์กำแพงเพชรกับน้ำตกคลองลานก็น่าสนใจไม่น้อย ได้แผนการคร่าวๆ แล้วก็จัดการตามแผนทันที ค่ำนี้นอนกำแพงเพชร นะเจ้าขมิ้นเหลืองเขียว

(แปลกใจตัวเองมากที่ไม่เคยจัดอันดับจังหวัดกำแพงเพชรให้เป็นสถานที่ที่จะมาท่องเที่ยวในใจไว้เลย ทั้งที่มีอะไรตั้งเยอะแยะ เวลาแค่สองวันคงแค่ได้สำรวจไม่ได้ลงลึกอะไร)

วันเสาร์ที่ 27 กันยายน พ.ศ. 2551

เยือนเหนือฯ (7) - ถึงแล้ว..แจ้ซ้อน


ต้นไม้ที่ได้รับน้ำฝนอย่างชุ่มฉ่ำ
มันสวยเยี่ยงนี้

นั่งๆ กินๆ นอนๆ คุยกับตา-ยายอยู่ครึ่งวันก็คิดกันต่อว่าจะไปไหนดี

คราวนี้คงต้องล่องลงเที่ยวไล่ไปตามทางที่จะกลับบ้านหยิบแผนที่มาดูก็ตัดสินใจไปที่แจ้ซ้อนกันเลย ... ดูทางจากแผนที่แล้วตัดสินใจเลือกจะไปทางดอยสะเก็ดแล้วรถก็มุ่งหน้าไปตามนั้นทันที

ทางนี้วิวสวยมาก ขับผ่านโค้งไปมาไม่ชันเหมือนที่ปาย แต่ทางดูรกกว่าคล้ายจะไม่ได้รับการเอาใจใส่ดูแลรักษาเหมือนกับเส้นทางท่องเที่ยวอื่น
รถที่ผ่านก็น้อย วิวได้ใจมากๆ

เราไปถึงแจ้ซ้อนเย็นๆ ที่โน่นวันนี้คึกคักด้วยเด็กนักเรียน ที่มาตั้งแค้มป์กัน (ดีจังเนาะเด็กแถวนี้ ออกแค้มป์ได้เท่ห์สุดๆ) ติดต่อเจ้าหน้าที่อุทยานได้บ้านพักมาหนึ่งหลัง เจ้าหน้าที่อุทยานใจดีมากๆ รับกุญแจให้เรียบร้อยก่อนค่อยออกสำรวจ

หลังจากอิ่มหมีพีมัน เราก็เริ่มกันที่บ่อน้ำร้อนกันก่อน ที่นี่กว้างขวางดีแท้ มีบ่อน้ำร้อน มีน้ำตก มีอะไรให้ดูเยอะแยะ
เหมาะแก่การเยื่ยมเยือนจริงๆ ดูไปรอบๆ แล้วยังไม่มืดดี พลขับจึงขับรถออกจากอุทยานไปดูเส้นทางรอบนอกบ้าง
ไปเสียไกลหลายกิโลจนถึงหมู่บ้านเงียบๆ แห่งหนึ่ง เห็นว่าโด่งดังเรื่องหมอนใบชาระดับ OTOP ทีเดียว เสียดายไปถึงก็มืดค่ำชาวบ้านเข้าบ้านนอนกันหมดแล้วจึงกลับ

คืนนี้ฉันนอนหลับสบายอีกตามเคยพร้อมกับซีรี่ส์เกาหลีที่เหลือ
เพื่อที่เช้าพรุ่งนี้ ฉันจะได้ไปลุยน้ำตกอย่างสดชื่น

เสียดายเขียนโปสการ์ดไว้เป็นปึก แต่หายไปเพราะอุบัติเหตุ
กับตู้แดงตู้นั้น (ตู้แดงแสลงใจ ฮือ).... ไม่มีใครได้รับรวมถึงตัวฉันเองด้วย

วันอังคารที่ 23 กันยายน พ.ศ. 2551

มุมมองความรัก ~ MySuper Hero


คัดมาจาก http://www.chaliang.com/Board-Detail.asp?ID=10306
คุยกับลุงชาลี (ประภาส ชลศรานนท์)

-------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------
ความรักเป็นเรื่องของคนสองคน
แต่งานแต่งงานเป็นเรื่องของคนหลายคน

ความรักเป็นเรื่องของคนสองคน ประโยคนี้ฟังดูง่าย
แต่ทำเป็นเล่นไป อาจมีคนเป็นหมื่นเป็นแสนไม่เข้าใจประโยคง่ายๆนี้

หลายคนเจ็บปวดกับความรัก เพราะดันให้ความรักเป็นของคนแค่คนเดียว

บางคนก็ให้เป็นเรื่องของตัวเอง นั่นคือตามใจแต่ตัวเอง เอาตัวเองเป็นใหญ่ ไม่สนใจอีกคนหนึ่ง

บางคนก็ให้เป็นเรื่องของอีกคน นั่นคือตามใจแต่คนรัก เอาตัวคนรักเป็นใหญ่ ไม่สนใจตัวเอง

สิ่งมีชีวิตในโลกนี้จะดำรงเผ่าพันธุ์ต่อไปได้จำต้องมี การปรับตัว (จากทฤษฎีของดาร์วิน)

นอกจากการปรับตัวแล้ว สิ่งมีชีวิตที่มีชื่อว่ามนุษย์ทำมากกว่าสิ่งมีชีวิตอื่นก็คือ การเอาชนะ ปรัชญาข้อนี้ (จากวิถีของ เอดิสัน กาลิเลโอ)

เอะอะอะไร ก็ทูนแต่พวกนักวิทยาศาสตร์ยันเต อย่าไปว่าเลย

กาลิเลโอนั้นน่าสนใจที่สุด เพราะพี่ท่านใช้ทั้งการปรับตัวและเอาชนะ
ยอมติดคุกหัวโตเพื่อเขียนตำราวิทยาศาสตร์เล่มยิ่งใหญ่ของโลก

ความรักก็เป็นอย่างนั้น

ความรักเป็นเรื่องของคนสองคน
ความรักจำเป็นต้องอยู่รอด
ความรักจึงจำต้องปรับตัวและต้องเอาชนะ

ฟังดูโหดจัง ต้องเอาชนะด้วยหรือ

พุทโธ่... คนรักกันทำไม่ถูกไม่ควร จะไปยอมได้อย่างไร
ถ้าฝ่ายหนึ่งยอมตลอดเวลา ความรักจะกลายเป็นเรื่องของคนๆเดียวทันที

ใครที่คิดว่าเรื่องเอาชนะเป็นเรื่องโหดร้าย ให้ฟังเรื่องเล่าของซุนวู 
รบร้อยชนะร้อย ยังหาใช่ความยอดเยี่ยมไม่
มิต้องรบแต่ชนะได้ จึงเป็นความยอดเยี่ยม
ปรัชญาสูงสุดของซุนวูว่าไว้

นอกจากการปรับตัวและการเอาชนะ ซึ่งเป็นคุณสมบัติสำคัญของมหาบุรุษแล้ว
อีกข้อหนึ่งซึ่งจะทำให้มนุษย์ผู้ยิ่งใหญ่เป็นมนุษย์ผู้ยิ่งใหญ่อันประเสริฐ
นั่นก็คือ การเปิดใจ

รับฟังทุกคำเห็น มองทุกอย่างเป็นไปได้ มองความผิดพลาดของตัวเองได้
ยอมรับความผิดหวังได้ ยอมรับความสมหวังได้


เอดิสันเปิดใจกว่าสองพันครั้ง เพื่อรับวัสดุใหม่ๆในการสร้างหลอดไฟให้ชาวโลก

ไอน์สไตน์เปิดใจรับจินตนาการของตัวเองบนเนินเขาว่ามันอาจเป็นจริงได้ในทางคณิตศาสตร์
จนเกิดฟิสิกส์ยุคใหม่


เจ้าชายสิทธัตถะเปิดใจรับคำสอนจากอาจารย์หลายต่อหลายคน เพื่อคนหาคำตอบของชีวิตและสุดท้ายพระองค์ยังเปิดใจอันใสที่สุดในจักรวาลเพื่อฟังเสียงจากสมาธิของตัวเอง

ในความรัก คนสองคนต้องการ การเปิดใจ อย่างที่สุด
ไม่เปิดใจ แล้วจะเชื่อใจ กันได้อย่างไร

ความเชื่อใจนี่แหละคือเสาเข็ม อันปักลึกมั่นคงของตึกที่ชื่อว่า ความรัก

เมื่อเราเจอใครสักคนที่เราเราคิดว่าใช่ วินาทีนั้นน่าจะเป็นครั้งแรกที่ต้องเปิดใจ
ตัวเองก่อน ใช่ จริงไหม หรือแค่พึงใจในหน้าตาและบุคลิก หรือแค่เหมือนใครสักคนที่เราขาดหายไป ?
หรือใช่เพราะเขาสาละวนเอาใจแต่เราคนเดียว


เปิดใจตัวเองจริงๆว่า เขาใช่สำหรับเราไหมและเราใช่สำหรับเขาไหม
อันนี้ต้องดูดีๆ ต้องเปิดใจจริงๆ ไม่ใช่เอาแต่ใจ แล้วหลอกตัวเองว่าใช่

บางทีเราก็เรียกการรู้ว่า ใช่หรือไม่ใช่จากการเปิดใจอันนี้ว่า สัมผัสที่หก
ไม่เพียงแต่เรื่องความรักดอก มันจะมีกับทุกเรื่องจริงๆ ถ้าเรา เปิดใจ

โดยคุณ : ชาลี - [ 25 ก.ย. 2549 , 10:09:35 น.]

วันพฤหัสบดีที่ 18 กันยายน พ.ศ. 2551

เยือนเหนือฯ (6) - เวียงกุมกาม




กลับมาที่จุดเริ่มต้นที่เชียงใหม่ เช้านี้ฟ้าแจ่มใสมาก เราจะไปแวะชมเมืองเก่าที่เพิ่งขุดค้นพบเมื่อไม่กี่ปีมานี้ "เวียงกุมกาม"

วันพุธที่ 17 กันยายน พ.ศ. 2551

..กระดาษเล่าเรื่อง...โปสการ์ดของฉัน


ที่เมืองโบราณอีกใบ
ฟ้าแจ่มโคตร แต่ก็ถ่ายได้แค่นี้

กิจกรรมที่เป็นส่วนหนึ่งในการท่องเที่ยวของฉันคือการได้ส่งกระดาษใบเล็กๆ ที่เรียกว่า "โปสการ์ด" กลับบ้าน จ่าหน้าให้ตัวเองแล้วกลับมารอรับเพื่อเก็บความประทับใจเล็กๆ เอาไว้อ่านเรียกความจำและก็เป็นของที่ระลึกไปในตัว ที่ระลึกที่มีตราประทับจากไปรษณีย์บอกสถานที่ที่ฉันหย่อนตู้และรวมถึงแสตมป์ที่ระลึกอีกต่างหาก

ระยะหลังๆ นี้ ฉันจะแก้เก้อด้วยการจ่าหน้าเป็นชื่อคนข้างๆ แทนชื่อตัวเอง แต่ก็ยังใช้ที่อยุ่เดียวกันอยู่ดี

กับเพื่อนสนิทไม่กี่คน..ฉันถือโอกาสเล่าเรื่องผ่านกระดาษใบน้อย บอกสารทุกข์สุกดิบ ณ ตอนนั้นส่งผ่านตู้แดงทุกครั้งอย่างไม่เคอะเขิน ภาพที่ส่งและแสตมป์ในแต่ละครั้งก็สวยงามแตกต่างกันไป

การวิ่งไล่หาโปสการ์ดเป็นเรื่องสนุกในแต่ละทริป จนเมื่อปีที่แล้วที่ผ่านมา ฉันไปค้นพบคลับแห่งหนึ่งที่รวมคนที่ชอบสะสมโปสการ์ดไว้ด้วยกัน และฉันจึงได้เรียนรู้การทำโปสการ์ดด้วยตนเองจากคลับแห่งนี้

ฝีมือไม่ได้ถึงขั้นอะไรหร่อก แต่ฉันก็ถ่ายรูปเอง แต่งรูปเอง เอาไป print แล้วก็กลับมาตัดกระดาษทากาว ติดด้วยมือ กว่าจะได้มาหนึ่งใบ ช่างภูมิใจนักหนา

และเหล่านี้เป็นส่วนหนึ่งที่ฉันนั่งหลังขดหลังแข็งทำเมื่อได้โอกาส มีความสุขเล็กๆ กับกิจกรรมธรรมดาแบบนี้...

วันอังคารที่ 16 กันยายน พ.ศ. 2551

จงตามความฝันไป

เป็นบทความที่อ่านแล้วชอบมาก




------------------------------------------------------------------
ผมมีเพื่อนชื่อว่ามอนตี้ โรเบิร์ตส์ เขาเป็นเจ้าของคอกม้าอยู่ในซานอิชิโดร เขาให้ผมยืมบ้านเป็นที่จัดงานระดมทุนเพื่อใช้ในโครงการดูแลเด็กที่มีความเสี่ยง

ผมอยากจะบอกให้พวกคุณรู้ว่า ทำไมผมถึงยอมให้แจ๊กใช้บ้านของผม ผมขอย้อนไปที่เรื่องของชายหนุ่มคนหนึ่งซึ่งเป็นลูกชายของครูฝึกม้ารับจ้างที่ตระเวนฝึกม้าตามคอกต่าง ๆ รวมทั้งตามสนามแข่ง โรงเพาะม้าและไร่ปศุสัตว์ ด้วยเหตุนี้เอง จึงทำให้การศึกษาชั้นมัธยมของลูกชายของเขามีอันต้องสะดุดอยู่เป็นระยะ

ในตอนที่เขาเรียนชั้นมัธยม ครูขอให้เขาเขียนเรียงความเรื่องเขาจะทำอะไรเมื่อเขาโตขึ้นคืนนั้นเขาเขียนเรียงความยาวเจ็ดหน้า เล่าว่าสักวันเขาจะต้องเป็นเจ้าของคอกม้าให้ได้ เขาเขียนเล่าแผนการความฝันของเขาอย่างละเอียด พร้อมกับวาดภาพทุ่งเลี้ยงม้าจำลองขนาด 200 เอเคอร์ลงไปด้วย ในนั้นมีทั้งที่ตั้งของตึก คอกม้า และลู่วิ่ง แล้วเขาก็วาดรายละเอียดของบ้านที่กินพื้นที่ประมาณ 4,000 ตารางฟุตอยู่ในไร่ขนาด 200 เอเคอร์ตามความฝันของเขาเขาใส่รายละเอียดความฝันของเขาลงไปทั้งหมด และวันรุ่งขึ้น เขาก็ส่งกระดาษแผ่นนั้นให้ครู สองวันต่อมา คุณครูของเขาส่งเรียงความกลับคืน โดยมีตัวอักษรเอฟสีแดงตัวใหญ่กาไว้ที่หัวกระดาษ และมีข้อความเขียนไว้ว่า "มาพบครูหลังเลิกเรียน"

เด็กชายผู้มีความฝันจึงไปพบครูหลังเลิกเรียนตามที่สั่ง และถามว่า "ทำไมผมถึงได้เอฟ" ครูของเขาตอบว่า "เพราะฝันของเธอไม่มีทางเป็นไปได้สำหรับเด็กอย่างเธอ เธอไม่มีเงิน เธอมาจากครอบครัวร่อนเร่และขาดปัจจัยที่จำเป็นตั้งหลายอย่าง การที่จะเป็นเจ้าของทุ่งเลี้ยงม้าได้ต้องใช้เงินเยอะมาก เธอต้องซื้อที่ดิน ต้องซื้อม้าพ่อพันธุ์แม่พันธุ์ และต้องซื้อม้าแข่งอีกตั้งหลายตัว เธอไม่มีทางทำได้แน่” ครูยังพูดอีกว่า "ถ้าเธอเขียนเรียงความมาใหม่ให้มันเป็นไปได้มากกว่านี้ บางทีฉันอาจจะพิจารณาคะแนนของเธอใหม่"

เด็กผู้ชายคนนั้นกลับบ้านและคิดถึงเรื่องนี้อย่างหนักและยาวนาน เขาถามพ่อของเขาว่าควรจะทำอย่างไรดี พ่อของเขาตอบว่า "ลูกต้องตัดสินใจเรื่องนี้ด้วยตัวเอง พ่อคิดว่ามันเป็นการตัดสินใจครั้งสำคัญของลูก"

ในที่สุด หลังจากที่นั่งคิดเป็นอาทิตย์ เด็กชายคนนั้นก็ส่งเรียงความแผ่นเดิมกลับไปโดยไม่แก้ไขอะไรทั้งสิ้น เขาเขียนเติมไปว่า "คุณครูจะให้เอฟผมก็ได้ แต่ผมจะรักษาความฝันของผมไว้" 

จากนั้นมอนตี้ก็หันไปพูดกับกลุ่มคนที่ยืนรายรอบเขา "ที่ผมเล่าเรื่องนี้ให้คุณฟัง ก็เพราะว่าพวกคุณกำลังนั่งอยู่ในบ้านขนาด 4,000 ตารางฟุตของผม ที่ตั้งอยู่ในไร่เลี้ยงม้าขนาด 200 เอเคอร์" "ผมเก็บเรียงความแผ่นนั้นใส่กรอบติดไว้ที่เตาผิง" เขาเสริมว่า "สิ่งที่ดีที่สุดของเรื่องนี้คือ เมื่อสองฤดูร้อนที่ผ่านมา คุณครูคนเดียวกันนี้พาเด็ก ๆ 30 คนมาตั้งแคมป์ที่ไร่ของผมเป็นเวลาหนึ่งอาทิตย์ และตอนที่คุณครูกำลังจะกลับ เขาก็พูดขึ้นว่า "นี่มอนตี้ ฉันมีอะไรจะพูดกับเธอ ตอนที่ฉันเป็นครูของเธอ ฉันก็เหมือนกับโจรขโมยความฝัน ในช่วงที่ฉันสอนหนังสือ ฉันขโมยความฝันของเด็กไปหลายคน โชคดีที่เธอกล้าหาญพอที่จะเดินตามความฝัน"

อย่าให้ใครขโมยความฝันของคุณไป จงเดินตามหัวใจของคุณไม่ว่าอะไรจะเกิดขึ้น

แจ๊ก แคนฟิลด์

วันอาทิตย์ที่ 14 กันยายน พ.ศ. 2551

เยือนเหนือฯ (5) - จุดหมายคือห้วยน้ำดัง


ที่จอดรถและจุดชมวิวอยู่ติดกัน
ข้างๆ เป็นศูนย์บริการนักท่องเที่ยว
ที่วันนี้คงจะไม่บริการกระมัง
ก็คงต้องหยุดบ้างอะไรบ้าง
เราเสียอีกมาถูกที่แต่ผิดเวลาเอง

ฝนที่ปายตามมาส่งถึงห้วยน้ำดัง ทั้งอุทยานเป็นของเราสองคนจริงๆ ผ่านโค้งไปจนถึงจุดหมายแต่เหตุการณ์ก็ไม่ได้เป็นไปตามคิดนัก เราสองคนไม่สามารถติดต่อได้ที่พักตามใจที่ต้องการได้ .. คืนนี้ .. ที่นอนหมอนผ้าห่มที่เตรียมมาจึงได้โอกาสออกมาทำหน้าที่ของมันได้เต็มที่

พลขับเห็นสมควรขับรถวนดูบรรยากาศดังเช่นที่เคยทำทุกที่ที่ไปถึง ฝนที่ปายไม่ตามมาแล้ว แต่ลมและฝนที่ห้วยน้ำดังกำลังเริ่มมาต้อนรับเราอย่างเต็มที่ ถ้าใครอยู่ที่ห้วยน้ำดังเย็นวันนั้น จะเห็นแท๊กซี่คันหนึ่งที่ขับร่อนสำรวจอุทยานไปทั่วทุกที่ทุกทาง และในคืนนั้นเอง ที่มีคนสองคนกอดกันกลมเดินฝ่าความหนาวออกจากรถมากลางดึกเพื่อเข้าห้องน้ำทำธุระส่วนตัว

ราตรีอีกยาวไกล ฉันหลับสบายบนรถรวดเดียวจนเช้าแบบไม่ต้องอาบน้ำล้างหน้าแปรงฟันหลังจากที่ดูหนังซีรี่ย์เกาหลีจากเครื่องคอมฯ จนแบตหมดพร้อมตาฉันที่เริ่มง่วงได้ที่พอดี

อากาศในรถอุ่นกำลังดี เช้าๆ วันนี้ทะเลหมอกไม่มี มีแต่ลมโชยมาเป็นระลอกกับฟ้าขาวๆ และความหนาวเย็น...ฉันออกไปถ่ายรูปเล่นกับคนข้างๆ สักพักก็ลาจากห้วยน้ำดัง เนื่องจากได้ยินท้องเรียกร้องอาหารมาเติมแล้ว...

เยือนเหนือฯ (4) - ยังคงปาย...


สะพานฝั่งโน้นปิดอยู่
เราจึงเดินมาเข้าอีกฝั่งแทน

อยู่เที่ยวปายจนพอใจ..

ออกจากปายโดยมีฝนมาสั่งลาปรอยๆ ให้เปียกปอนเล็กน้อย หลังจากตัดสินใจไม่ขึ้นไปต่อที่แม่ฮ่องสอน เราจึงหันรถกลับไปทางที่มา จุดหมายคืนนี้คงเป็นที่ใกล้ๆ ไม่กี่กิโล เราจะไปพักคืนนี้ ที่ห้วยน้ำดัง เพื่อที่พรุ่งนี้ เราจะตื่นมาพร้อมทะเลหมอก จินตนาการไว้ได้ตระการตายิ่งนัก

วันเสาร์ที่ 13 กันยายน พ.ศ. 2551

เยือนเหนือฯ (3) - ปายอีก...


ไม่รู้จะเอาอะไรมาแทนสัญลักษณ์ของปายดี

ถึงปายแล้ว แต่ยังคิดไม่ออกว่าจะไปตะลอนที่ไหนบ้าง ตามธรรมเนียมก็ขับรถชมเมืองไปเรื่อยก่อน ปายยามนี้สงบดีนักแล ดูวัด ดูคน พร้อมมองหาที่พักไปพรางๆ หิวก็แวะกินร้านที่อยากเข้าไปตามเรื่อง หลายร้านคงถูกแนะนำตามเว๊ปไซด์ตามหนังสือบ้าง ซึ่งก็ไม่มีผลกับเราตอนนี้ที่ไม่ได้เที่ยวตามตำราเล่มใดๆ เลย … ไม่จำเป็นต้องจองก่อน ไม่จำเป็นต้องแย่งกับใคร ก็มันว่างซะเหลือเกินนี่นะ ที่พักก็เดินเลือกได้ตามใจกระเป๋านั่นเอง
อิ่มท้องแล้วก็หาที่พักแล้วก็มองที่เที่ยวไปด้วยกัน ดูจากแผนที่คร่าวๆ ที่มีติดไว้ตามถนนแล้วก็ถามชาวบ้านไปเรื่อยๆ อยู่ปายสองวัน ก็เที่ยวได้เกือบทั่ว ติดใจที่ไหนก็อยู่นานหน่อยเท่านั้นเอง

กองแลน
สะพานประวัติศาสตร์
ร้านกาแฟ coffee in love และ all about coffee
ตลาดมืด
วัดน้ำฮู
บ้านสันติชล
น้ำตกหมอแปง
พระธาตแม่เย็น
บ่อน้ำร้อนท่าปาย

ที่ปายค่ากาแฟกับเค้กแพงกว่าค่าที่พักที่เราไปพักทั้งคืนเสียอีก แต่ก็ชอบ coffee in love เป็นสถานที่ที่ตกแต่งไว้สวย วิวกินกาแฟสวย หันไปทางไหนก็สวยไปหมด ส่วน all about coffee ก็เป็นร้านออกแนวติ๊สท์ๆ ไปนั่งอยู่นาน เขียนโปสการ์ดได้เป็นปึกๆ ก่อนตะลอนทัวร์ต่อ เสียดายที่ภาพถ่ายความทรงจำบางส่วนหายไปเพราะเทคโนโลยีอันทันสมัยที่เราตามมันไม่ทันเอง…

บางสถานที่ที่ปายก็อยู่ระหว่างปรับปรุง บางที่ก็ปิดไปเลย...คงเป็นช่วงที่ปายจะได้พักผ่อนหายใจฟื้นฟูตัวเองก่อนจะเริ่มฤดูใหม่ในอีกไม่กี่เดือนข้างหน้านี้

วันพุธที่ 10 กันยายน พ.ศ. 2551

เยือนเหนือฯ (2) - ปาย


เป็นที่พักที่ไม่ต้องจองล่วงหน้าcheck-in เมื่อไรก็ได้ แต่ต้องโทรบอกก่อน เพราะตานอนไว

หลังจากอาหารค่ำแถวกาดอะไรซักอย่างเราก็มา check-in ที่บ้านตา ยังไม่คุยอะไรมาก มาถึงเราก็นอน เช้าค่อยว่ากัน


เมื่อวานมาถึงเชียงใหม่ก็เกือบค่ำๆ ไปวนรถเที่ยวรอบๆ ดูชีวิตกลางค่ำกลางคืนซะหน่อย (ความจริงคือ หลง งงกับคำอธิบายทางไปบ้านตาเหลือเกิน) แวะกาดม่วนใจ๋ กินข้าวปลาให้ิอิ่มท้องก่อนเข้าบ้าน ยายจะได้ไม่ต้องวุ่นวายหาของกินให้

ทางเข้าบ้านผ่านร้านที่ยายขายของก่อน ยายนอนบ้านนี้ ส่วนตาก็ไปไปมามา เราไปถึงก็เย็นย่ำแล้ว แต่ยายยิ้มใจดีพาเราเข้าไปนอนบ้านข้างในกับตา ตาหลับไปแล้วตามคาดเลยต้องปลุกมาเปิดประตูให้ เข้าบ้านได้ก็แยกกันคนละห้องต่างคนต่างง่วงแล้ว...พรุ่งนี้ค่อยคุยกัน

เช้ามาพวกเราก็ออกแต่เช้าทักทายตา-ยายเล็กน้อย เอาไว้ก่อน... ไว้ขากลับจะแวะมาอีก แล้วเราก็ออกเดินทางทันที วันนี้ต้องไปอีกหลายโค้ง จุดหมายคือ ปาย .....

ปายช่วงนี้เป็นช่วงโลว์เพราะเป็นหน้าฝน พลขับต้องระวังในการขับรถมากขึ้นเพราะทางเป็นทางโค้งแต่ถนนก็ลาดยางอย่างดี ฉันไม่มีความรู้สึกเวียนหัวเหมือนที่เคยมาปายคราวก่อนเลยสักนิด อากาศเย็นสบาย ชีวิตไม่เร่งรีบ ราวกับว่าเป็นเมืองปายแท้ๆ ที่ไม่ต้องแย่งกันอยู่แย่งกันกินเหมือนช่วงหน้าเที่ยวกระมัง ฉันจึงรู้สึกสบายใจบอกไม่ถูก ที่พักก็ขับรถเลือกได้ตามสบาย อาหารก็ค่อยๆ ดู ค่อยๆ เลือกได้ ปายช่างเป็นปายที่แท้จริงดีแท้

ระหว่างทางเราก็แวะไปตามใจกันเองตลอด 2 คน เพราะไม่มีใครเลย ..

วันอังคารที่ 9 กันยายน พ.ศ. 2551

เยือนเหนือ..เมื่อครา..ฟ้าพรำฝน (1)


พี่โจกับแท๊กซี่คู่ใจ

ฉันถือโอกาสลาพักร้อนหยุดติดต่อกันได้ 9 วัน เพื่อนหลายคนถามว่าไปเที่ยวไหนบ้าง แต่คำตอบที่ออกจากปากฉัน ตอบได้แค่คำว่า จะขึ้นเหนือ ฉันไม่รู้จะบอกว่าไปไหน เพราะทริปนี้เป็นทริปที่ไม่คิดอะไรเลย วางแผนได้คร่าวๆ มาก

จนวันที่จะออกเดินทาง รถมุ่งหน้าขึ้นเหนือ เราถึงคุยกันบนรถว่าจะไปนอนที่ไหนดีระหว่างทางก็แวะไปเรื่อย และเป็นอย่างนี้ไป ทั้งทริป

สนุกมาก...เพราะในบางคืนถึงกับไม่มีที่นอนเลยทีเดียว แต่เราสองคนก็เตรียมพร้อมที่จะนอนบนรถได้สองคนอย่างไม่ลำบากยากเย็นอะไร (อุปกรณ์ หมอน ผ้านวม หรือกระทั่งเต๊นท์ ครบเซ็ทอยู่ในรถนั่นแหล่ะ)

เป็นทริปฉลองวันเกิดที่สนุกมาอีกทริปที่ฉันจะจำไปนาน

ฉันออกจากบ้านคืนวันศุกร์ในวันทำงานสุดท้ายของอาทิตย์นั้น เรามีสัมมนาที่ วังรีรีสอร์ท นครนายก 2 คืน 2 วัน ฉันต่อที่วังรีอีก 1 คืน รวมเป็น 3 คืนที่วังรี พวกเราก็เริ่มต้นขึ้นเหนืออย่างแท้จริง

จุดหมายแรกที่เราคุยกันคืนต่อไปคือ เชียงใหม่
เราจะไปเริ่มต้นเมื่องเหนือคืนแรกเชียงใหม่กัน

กลอนอกหักบทแรกของอาหมวยคนหนึ่งกับเพื่อนคนหนึ่งที่อาหมวยเพิ่งหาเจอ

เมื่อเด็กๆ ที่ยังไม่ได้เป็นอาโกวของใครเลย ... ฉันช่างสามารถมาก .. ทำอารมณ์ซึม เศร้า เหงา และรักได้ ทั้งที่ไม่มีอะไรเกิดขึ้นในชีวิต แค่อ่านหนังสือเศร้าๆ ซึ้งๆ สักเล่ม ก็เหมือนตัวเองเป็นตัวเอกในเรื่องเสียเอง ... แค่ฟังเพลงหวานๆ ซักเพลง ก็คล้ายว่าน้ำตาลจะเกาะ มดจะขึ้นหัวใจซะงั้น ฝนตกก็ทำตัวเหมือนคนอกหัก อย่างนี้มั้งที่เขาเรียกว่าสามารถบิ๊วท์อารมณ์เองได้ (คิดแล้วก็ขำ – ช่างขัดกับบุคลิกภายนอกอย่างสิ้นเชิง)

มีกลอนที่หัดแต่งไว้บทหนึ่ง คิดเอาเองว่าจบแล้ว ฉันส่งให้เพื่อนทางตัวหนังสือคนหนึ่งอ่านเล่นๆ แล้วสุดท้ายมันก็หายไปจากชีวิตฉันพร้อมๆ กับเพื่อนคนนั้น


สายลม พรมพริ้ว
พัดปลิว ทิวไม้
ดอกหญ้า แกว่งไกว
พร่างพราย สายชล

พายุ กระหน่ำ
สาดซ้ำ สายฝน
เปียกปอน เปื้อนปน
ระคน น้ำตา


หลังจากมีเหตุการณ์ประหลาดที่ทำให้เราสองคนต่อกันติดได้อีกครั้งเมื่อไม่นานมานี้  ฉันนึกถึงเจ้ากลอนบทนี้อีกครั้ง และฉันยังจำได้อีกว่าเพื่อนฉันเขียนกลอนต่อจากที่ฉันแต่งไว้มาให้ฉัน ตัวหนังสือที่เขียนส่งมาอยู่ไหนก็ไม่รู้แล้ว แต่ฉันกลับท่องจำมันได้ทุกตัวอักษรไม่มีผิดแม้ตัวเดียว

ก็เคย ให้รัก
รู้จัก ยิ่งกว่าเพื่อน
ความหลัง ย้ำเตือน
รักเคลื่อน เหมือนลม

หลอกใจ ว่าลืม
ยิ้มชื่น ระรื่นสม
แต่ใจ กลับตรม
ขื่นขม เดียวดาย

เพื่อนของฉันคนนั้นชื่อ “แก๊งค์



วันอังคารที่ 2 กันยายน พ.ศ. 2551

กระทบไหล่ TaB V3


เดี๋ยวจะไม่เชื่อเลยต้องมีป้ายมายืนยัน
และถือโอกาสโฆษณาบริษัทไปในตัวด้วย

แว่วว่าแม่จะพาไปตัดผมที่สยาม
มาทำธุระที่ตึกที่ทำงานนิดหน่อย
... ไฉนเลยจะพลาด
ขี้นมาให้อาอาได้ปลื้มหน่อยเนอะ

วันจันทร์ที่ 1 กันยายน พ.ศ. 2551

เด๋อด๋า...แบบอากู๋ (บุคคลธรรมดาอีกคนของฉัน)

อากู๋ น้องชายคนเดียวของหม่าม้า อากู๋ใจดีมากๆ
ที่รู้ๆ ก็เห็นแต่อากู๋ขายก๋วยเตี๋ยวไม่เคยทำอาชีพอื่น
ถ้านึกถึงอากู๋ ก็ให้นึกถึงคนจีนเด๋อด๋าคนหนึ่ง
ที่ชอบฉกก๋วยเตี๋ยวให้ฉันกินฟรีฟรี ...
แถมยังใส่ถงติดไม้ติดมือไปฝากใครต่อใครอีกทั้งบ้าน

อากู๋ผ่านเหตุการณ์เฉียดตายมา 2 ครั้ง
ครั้งแรกอากู๋เป็นโรคอะไรไม่รู้เกี่ยวกับเลือด
รู้แต่ว่าอากู๋ต้องไปนอนโรงพยาบาลหลายวัน
และก็ช่วงนั้นเองทำให้่ฉันเป็นโรคกลัวเสียงโทรศัพท์ตอนดึกๆ

มีอยู่คืนหนึ่งหมอโทรเรียกญาตให้ไปดูใจอากู๋เพราะความดันตกลงเรื่อยๆ
แต่ก็มีปาฏิหารย์ อากู๋ก็รอดมาได้

อีกครั้งก็คราวที่อากู๋โดนรถเกือบสิบล้อฝ่าไฟแดงมาเสย
จากที่อากู๋ขี่มอเตอร์ไซด์แล้วรถติดอยู่คันแรก...พอไฟเขียวอากู๋ก็ออกตัว
ไปเจอกะรถที่ฝ่าไฟแดงมาพอดี (ตัวอากู๋เองก็ตาฝ้าฟางไม่ค่อยดีมานานแล้ว)

สลบไปกี่วันไม่รู้ แต่อากู๋ก็รอดมาได้
ฉันอยากเขียนเรื่องของอากู๋ก่อน เพราะอากู๋กำลังมีเรื่องให้ฉันเขียน....
หวังว่าปาฏิหารย์จะมีจริงอีก

ขอให้อากู๋รอดอีกครั้งนะอากู๋นะ

อ่านเรื่องของอากู๋

 

นครนายก..


กว้างใหญ่มาก
แบบว่า ใช้พื้นที่ร่วมกัน



เหมือนไม่ค่อยให้ความสำคัญกับสิ่งใกล้ตัว
มาสัมมนาที่วังรีรีสอร์ทเกือบทุกเดือน
แต่ไม่คิดจะขึ้นไปเที่ยวที่เขื่อนเลย

คราก่อนว่าง ผ่านไปปากทางขึ้น ก็ดั๊นมาติดเวลาซะอีก
เหมือนจะหยามหน้ากันชัดชัด
งวดนี้เลยเป็น อะมั๊ส ต้องแว๊บไปให้ได้
ถึงจะฝนตก ก็ได้ความรู้สึกไปอีกอย่าง..